วันอาทิตย์ที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2559

เที่ยงคืนสี่สิบกับจูดี้และนิค

เฮลโล
เที่ยงคืน สี่สิบ แอพพลิเคชั่นในมือถือบอกว่าตอนนี้อากาศ 26 องศา ตอนที่ขี่จักรยานกลับมา รู้สึกว่าอากาศเย็นสบายมาก ลมเย็นๆปะทะหน้า ถนนนิมมานเหมินทร์ตอนที่ไม่มีผู้คน ไม่มีแสงสว่าง มีเพียงเสียงเครื่องยนต์ไกลๆ เสียงลูกปืนดังๆของจักรยานเรา แล้วก็เพลงของมินดี้ เกลนฮิลล์ที่แคชมาจากแอพซาวน์คลาวน์ในหูฟัง

เราไม่รู้ว่าในอนาคตเธอจะเห็นว่าสิ่งที่เราทำมันเป็นความบันเทิงไร้ค่า หรือเธอก็จะยังทำแบบนี้ แม้ว่าขาขวาจะปวดจี๊ดๆ เป็นสัญญาณเตือนว่าลงน้ำหนักมากไปอีกแล้วก็เถอะ ตอนนี้เราออกมานั่งที่ระเบียง พร้อมโน๊ตบุ๊คที่เพิ่งคืนชีพจากอแดปเตอร์ระเบิด(ดีง ป๊อบ เฉยๆน่ะนะ) น้ำยูนิฟในแก้วใสที่แม่เพิ่งเอาขึ้นมาพร้อมแม่เมื่อวานซีน น้ำเป็นผลพวงจากการชั่งใจว่าจะซื้อสปายดีมั้ย แต่ด้วยความรู้สึกบางอย่าง ผสมกับความกลัวนอนไม่หลับ เลยเลือกของเหลวสีส้มแดงหวานเจี๊ยบนี่มาแทน

ความเจ๋งของเวลาหลังเที่ยงคืนคือความเงียบ เหมือนเป็นคนละสถานที่กับก่อนเที่ยงคืน ที่ผู้คน ผับ บาร์ แข่งกันเปล่งเสียงออกมา แน่นอนว่ามันไม่เงียบสงัดเหมือนที่หอหรอก อารมณ์คงเป็นการมีที่อยู่ติดกับสถานที่ท่องเที่ยวของทุกคนกระมัง

ไม่รู้ว่าทำไมทุกครั้งที่ดูหนังแล้วชอบจะต้องกลับมาเขียนอะไรสักอย่าง – แทรกนิด ขอบคุณที่ไม่มียุง – เพิ่งไปดู ซูโทเปียมา จะว่ายังไงดี เห็นตอนแรกชมๆกัน เราก็คาดระดับไว้ประมาณเบย์แม็กซ์ แต่มัน ดีกว่าที่คาดไว้อีก เรื่องเหมือนจะเป็นกระต่ายพิสูจน์ตัวเองธรรมดาๆ เหมือนจะจบแบบดิสนีย์ๆ แต่เรื่องกลับซ่อนไว้อีก เป็นคุณแกะที่คิดจะเปลี่ยนแปลงสถานะของตัวเองเท่านั้น รู้สึกว่าดิสนีย์เองก็มีการพัฒนาโครงเรื่องไปไม่ใช่น้อยเหมือนกัน ไม่รู้ว่าถ้าเรายังเด็ก จะคิดยังไงกับเรื่องนี้ แต่เรารู้สึกเหมือนถูกจูดี้สะท้อนบางอย่าง – ใช่ ดิสนีย์ไม่ใช่แนวกระแทกใจ “เหมือนถูกตบหน้าแรงๆ” หรอกนะ แต่ก็นั่นแหล่ะ จูดี้ กับเพลงในธีมเรื่อง I want to try everthing มันอาจจะเป็นเหมือนตัวเอกในอุดมคติ ที่มีความฝัน พยายามทำมันอยากสุดแรงเกิด แล้วก็สำเร็จ – ตลก ดิสนีย์บอกเรา – ไม่ได้ง่ายขนาดนั้นหรอกนะ แล้วยังมีคนจะซ้ำเติมเรา ยังมีคนพร้อมจะเหยียบ ในขณะเดียวกัน ก็มีเรื่องดีๆในเรื่องร้ายๆ – จะอธิบายยังไงดีละ รู้สึกเลย
ว่าดิสนีย์เรื่องนี้พูดถึง “ชีวิต” ได้สมบูรณ์ในระดับหนึ่งเลยล่ะ /ขอละเรื่องดาร์กมากๆไว้ แต่เรื่องจิตใจที่โดนทำลายนี่ใช้ได้เลยนะ/ นอกจากนี้แล้วยังล้อเลียนหนังตัวเองอย่างแนบเนียนด้วย อย่างการเอาตัวละครดุ๊กวีเซิลตั้นจากโฟรเซ่น หรือประโยคจากโฟรเซ่นมา เออ เหมือนจะมีเราขำอยู่คนเดียวในโรงหรือเปล่านะ เอาเถอะ แต่รู้สึกว่าการแซะมาถึงจุดที่โอเค ไม่รู้ว่าคนเขียนบทคนนี้หมั่นไส้โฟรเซ่นลึกๆหรือเปล่า (ฮา) แต่ชอบ

กลับมาพูดเรื่องจูดี้ กับ นิค ชอบคำพูดของนิคที่ว่า โลกมันไม่ได้สวยงาม ไม่ใช่ว่าทุกคนจะเป็นอะไรที่อยากเป็น ชอบความพ่อแม่ของจูดี้ที่กลัวเสียทุกอย่าง แต่จูดี้ยังคงพยายาม ไม่ได้ลดละ มันก็การ์ตูนแหล่ะ แต่มันทำให้เรานึกถึงตัวเอง นึกถึงสิ่งที่เคยทำ สิ่งที่เคยเป็น ที่อยากทำ อยากลอง ถึงคนอื่นจะบอกว่าทำไม่ได้ แต่เราเชื่อว่าเราทำได้ ไม่สิ เราไม่รู้หรอก แต่เราก็ดันทุรังจะทำมันต่อ เท่านั้นแหล่ะ – มันเหมือนเป็นสิ่งที่ทุกคนตอนเด็กๆน่าจะเคยเป็นกัน ความไม่ยอมแพ้ ความมุ่งมั่น แต่พอเราโตขึ้น ความจริงก็ซัดพัดผ่านหน้า บอกว่ามันมีอุปสรรคมากเหลือเกิน รู้มั้ยว่าทำไมการ์ตูนตัวเอกหรือประกอบอาชีพให้เข้าใจง่ายๆ เพราะมันจะได้เข้าถึงทุกคนไง ถามว่าถ้าอยู่ในจุดเดียวกันกับจูดี้แล้วเราจะทำได้แบบนั้นมั้ย  

ไม่แน่ใจหรอก

ไม่ค่อยเกี่ยวเท่าไหร่ แต่เมื่อวานเพิ่งดู la famille belier มา จากดีวีดีที่ห้องนี่แหล่ะ ไม่รู้ว่าบังเอิญหรือยังไง แต่ก็เป็นเรื่องความฝันของตัวเอกเหมือนกันแต่ทางนี้มีภาระหน้าข้างหลังอีกมากมาย

สิ่งที่ทั้งสองเหมือนกันคือการไม่ยอมแพ้ แม้ว่าคนอื่นจะไม่เชื่อ แม้ว่าตัวเองจะไม่เชื่อในบางที แต่ก็ไม่ทิ้งมันไป มันอาจจะลังเลบ้าง หนีบ้าง แต่สุดท้ายทั้งคู่ก็กระโดดเข้าสู้ดินแดนของความฝันของตัวเอง ดินแดนที่ทรหด ใช้ความอดทน ใช้ความพยายาม แต่ก็กลับมาในเวลาที่ถูกต้องเหมาะสม ไม่เร็วไป ไม่ช้าไป


พิมพ์มาโคตรยาว เอาจริงๆสามารถเขียนสั้นๆได้อยู่นะ

คือการดูหนังทำให้กลับไปตระหนักถึงการ 

“พยายาม”


เธอคงโดนตัวเองตอนเด็กตบหัว ถ้าพูดถึงชีวิตด้านการเรียน เธอจะบ่นว่าขาดแรงบันดาลใจหรืออะไรก็ได้ แต่ว่าเธอดันเลิกพยายามไปด้วยนี่สิ แล้วเธอจะฟูมฟายกับผลลัพธ์ทำไม – เธอไม่ได้ฟูมฟายขนาดนั้น เรารู้ แต่นั่นแหล่ะ

เราไม่ใช่ตัวเอก ที่สุดท้ายผลจะออกมาเพอร์เฟค ช่วยโลกได้น่าซาบซึ้งขนาดนั้น แต่ว่านะ หนังเรื่องชีวิตของเรา นอกจากเรา มันก็ไม่มีใครมาเทียบ ไม่มีใครมาบอกว่าใครเป็นคนที่ใช้ชีวิตได้พีคกว่าใคร ทุกความพอใจ ทุกความสุข มันอยู่กับจังหวะชีวิตของเราทั้งนั้นแหล่ะ ขึ้นอยู่กับการเลือกของเราทั้งหมด


เธอก็รู้ เราก็รู้ ชีวิตกับเป้าหมาย ไม่ได้เป็นทั้งหมดของความสุข แต่การพยายามเพื่อเป้าหมาย มันก็เป็นชีวิตที่เธอมีความสุขไม่ใช่เหรอ ? ไม่ต้องเถียงว่าจะเหนื่อยหรอก ไม่มีอะไรที่ไม่เหนื่อย นอกจากการกระทำที่มันไม่พัฒนาเธอเท่านั้นละ ถ้าความสุขของเธอคือการพยายามอย่างไม่คิดอะไร

ลองเชื่อใจตัวเองอีกครั้งนะ อย่าลังเลเลย
เราไม่รู้ว่าจุดจบมันจะกู๊ดเอนด์หรือแบดเอนด์นะ

แต่ว่า “พยายามเข้า” นะ

เรารู้ว่าเธอทำได้ อย่างที่เคยๆนั่นแหล่ะ





29/02/16 1.42

วันศุกร์ที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2559

2559 - personal diary -


คำชี้แจง

เอนทรี่นี้เป็นไดอารี่แบบ เขียนให้ตัวเองอ่าน และตัวเองเข้าใจจริงๆ
ที่เอามาลงบล็อก เพราะดันพิมพ์เก็บไว้ในมือถือ เดี๋ยวมันจะจมหายไปกับไฟล์มากมาย

ไม่ต้องอ่านก็ได้นะ ถ้าหลงเข้ามา เกรงใจ...


เจอกันเอนทรี่หน้า :3








30/01/16
พลังใจของเมื่อสามสิบวันที่แล้ว กับของวันนี้
ถ้ามีคนเปิดกะโหลกแล้วอ่านความคิดได้ ดูยังไงก็คนละคนชัดๆ
ช่วงปี2558ที่ผ่านมาถือว่ามีอะไรมากมาย แบบ มากมาย เข้ามาจริงๆ

ปัจจุบันน่ะเหรอ สมมุติเคยดูหนัง Yes man ตอนนี้เราคือม้วนที่กรอกลับที่จุดเริ่มของเรื่องเลยล่ะ

คนที่ไม่เอาอะไรเลย

แต่จริงๆก็มีเรื่องที่ทำส่วนตัวอยู่นะ อย่างรับจ๊อบวาดรูป เวิ่นลงเพจ แต่เอาจริงๆส่วนมากก็ติดฟิคนั่นแหล่ะ ซึ่งเราจะข้ามข้อนี้ไป เพราะอยากเลิกติดสักทีเหมือนกัน TwT - แต่ก็ซุ่มเขียนนิยายด้วยแหล่ะ พล๊อตแต่งทิ้งที่เท่าไหร่แล้วไม่รู้ พบว่าภาษาตัวเองห่วยลงมาก เทียบกับนิยายงี่เง่าที่เคยแต่งเล่นเมื่อสองปีก่อน

จะใส่เรื่องเข้าไปใน new year resolution ดีมั้ยนะ...

ต้นเดือน/01/16


2015 yearview

        ช่วงต้นปียังเป็นปีหนึ่งอยู่ใช่มะ ไปเที่ยวประเทศแหล่งกำเนิดซีรียส์กับความหนาวระดับติดลบ เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เจออากาศแบบนั้น สะใจไปเลย เอาจริงๆความจำช่วงท้ายๆปีหนึ่งมันเลือนลางแฮะ จำได้แต่ปิดเทอม เป็นปิดเทอมที่รีบๆมาก
        ตอนต้นปิดเทอมต้องไปเข้าค่ายธรรมะ ก็ได้อะไรหลายๆอย่างนะ สรุปในประโยคเดียวคือ ได้รู้ว่าตัวเองขาดสติขนาดไหน จากนั้นก็กลับมารีบจัดข้าวของไปค่ายหมอนอกรั้วฯ เป็นค่ายเจ็ดวันที่ได้อะไรๆเยอะมากกกกกกกก ได้มุมมองที่ดีและไม่ดีต่อการเรียนแพทย์ได้เห็นของจริง โรงพยาบาลชุมชนจริงๆ คนไข้ตัวเป็นๆ เยอะมาก ทำให้เราเปิดใจกว้างขึ้นด้วยอ่ะ ในแง่การมองคนทำงาน เพราะเราไม่รู้เบื้องหลัง หลายๆอย่างเลย ทำให้มุมมองเปลี่ยน และการให้คุณค่าคนเปลี่ยนไป (ไปอ่านละเอียดๆในสมุดนะ)
        จากนั้นรู้สึกว่าจะปั่นโดแบบ ลืมวันลืมคืน ลืมนัดเพื่อน ออกมาก็ไม่ค่อยหนุกอีก 55555 แถมเถื่อนด้วย รู้สึกว่าน่าจะไปวาดดราม่าน้ำตาตกที่ร่างแยกไว้มากกว่า แต่ก็สนุกดี เป็นประสบการณ์โคตรใหม่ และตอนนั้นก็พบว่าเราขี้อายเกินกว่าจะชวนคนบู๊ธข้างๆคุย โคตรเสียโอกาสอ่ะ ไอ้ความขี้อายเนี่ย
         แล้วเวลาก็หดสั้นลงอีกเพราะไปเที่ยวนานอยู่ ซึ่งไม่ค่อยสนุก การไปประเทศที่เวลาตรงข้ามกับเราเกือบสมบูรณ์มันทำให้วงจรการนอน การกินพังมาก ถึงแม้จะได้เปิดหูเปิดตากับ สไตล์คน ตึกสูงอลัง น้ำตกยักษ์ อะไรๆที่ใหญ่อลัง แต่การเที่ยวรอบนั้นทำให้รู้สึกเลยว่า ตัวเองให้คุณค่าการท่องเที่ยวเปลี่ยนไปแล้ว ทำไมน่ะเหรอ คือถ่ายรูปมันก็คือถ่ายรูปเนาะ การได้คิดมุมก็สนุก การได้กินของแปลกก็ดี แต่คือมันรู้สึกว่าไม่ได้ประสบการณ์มากเท่าที่เสียเงินและเวลาไปอ่ะ แต่ก็นั่นแหล่ะ เหมือนได้รู้ว่ามีมุมนี้ของโลกจริงๆ เพราะมันคล้ายๆเมกา ที่มันเห็นได้บ่อยๆตามสื่อ ถ้าเอาจริงๆอยากไปอยู่นานๆแล้วได้คุยกับคนท้องถิ่นจริงๆสักคนเลยดีกว่า
          ถ้าจำไม่ผิดรู้สึกว่าได้ไปเที่ยวกับเพื่อนที่กาญจนบุรี ที่ไปถึงแล้วรู้สึกว่าไม่มีเชี่ยไรเลย เพราะไม่มีน้ำ เหมือนไปนั่งรถไฟเล่น แล้วก็นั่งคุยกับเพื่อนละมั้ง เหมือนแค่เปลี่ยนที่ใช้เวลาร่วมกันเฉยๆ (อ้าว)

โห ตอนแรกกะจะบรรยายละเอียด แต่คิดไปคิดมา ลิสต์ละกัน

- ฝ่ายศิลป์ งานรับน้อง เฟรชชี่ไนท์ เป็นงานก่อนเปิดเทอมที่ถึกทนมาก ทำงานทั้งวัน ทุกวัน แต่ก็สนุกนะ ทำให้ได้รู้จักหลายๆคนมากขึ้น ดีใจที่ได้ทำงานนี้ ถึงเพื่อนจะเสียน้ำตากันเลยก็เถอะ เป็นงานแรกที่ทำให้รู้จักเพื่อน(นอกฝ่าย) ในแง่อื่นๆมากขึ้นด้วย ผิดหวังกับหลายๆคน และก็ประทับใจหลายๆคน
- งานเดิม แต่เพิ่มเติมคือ เป็นโฟโต้ในวันจริง ก็หนุกดี ได้จับงานถ่ายรูปจริงๆจัง พบว่ามันไม่ง่าย ถ่ายร้อยสวยครึ่งนึงคือดีงามมากแล้ว
- ทัศนศึกษากับโฟโต้
- เที่ยวกลางคืน (ตรงตัว) กับเพื่อนชมรมอาร์ตในมอ ช่วงบล็อกแรกๆ หนุกนะ ไปกินนู่นนี่ อ้วนเลย กำ แต่หลังๆไม่ได้เจอกัน เพราะตรงกับสอบเยอะมาก เสียดาย
- ถ่ายรูปขันโตก โห งานอลังก็มา ได้จับกล้องโอ คือนิกรฟูลเฟรม พบว่ามันเจ๋งมาก เข้าใจแล้วว่ากล้องดีมันต่างกันอย่างไร ได้รู้จักคนเพิ่มอีก
- งานสวนดอกมิวสิคเฟสติวัล เป็นงานที่กินระยะเวลาดำเนินงานนานที่สุดตั้งแต่ทำงานมา สเกลใหญ่มากด้วย แต่กลับไม่ได้คอนเน็คชั่นเพิ่มเท่าที่ควร รู้จักเพิ่มจริงๆคือพี่ประธาน แต่ก็ไม่สนิทมากกก อีก เพราะเราแม่งมัวแต่เกร็ง ขรรม แต่ก็เป็นคนประเภทที่ไม่ค่อยคุยด้วยมั้ง หลังๆค่อยมาเล่นกันได้มากขึ้น เป็นช่วงเวลาที่ดีและห่วยแตกไปพร้อมกัน ภาพสุดท้ายที่งานเสร็จ ความขุ่นมัวมันหายไปเยอะมาก เหลือแต่ความภูมิใจในฐานะคนออกแบบ (งานยิบย่อยก็ทำกะพี่อยู่สองคน เลยเครียดแดกและตายดับ)
- เพราะปล่อยตัวเองตกฮีมาโต พบว่าการตกมีเงื่อนไขง่ายมาก คือตอนเรียนยังเข้าใจ แต่ตอนมาอ่านอ่ะๆม่เข้าใจ แถมอ่านน้อย คล้ายๆกับว่ายังไม่จบด้วยมั้งตอนนั้น เลยไม่ประหลาดใจที่ตก ผ่านมาได้ชุดนึงก็ดีแล้วมั้ง
- บล็อกสกินเป็นอะไรที่เจ็บใจมาก เหมือนคิดว่าตัวเองอ่านดีแล้วแต่อ่านไม่สุด ควรจะเลือกว่าจะอ่านล้วน จำออล หรือเชื่อๆข้อสอบเก่าไปให้หมด คะแนนดีแต่เกรดไม่ดี
- ปรากฏการณ์วาร์ป คือสอบสกินเสร็จแล้วก็ตัดสินใจไปเที่ยวกะพวกโฟโต้ ไปล่องแพเฉยยยย แต่มันส์มาก แม้จะโดนพี่พอช.ค้อน เพื่อนด่าว่าวาร์ป ก็คุ้มนะ 5555 หลังจากนั้นก็เป็นเหตุการณ์แอลเฟิร์สไทม์ เก็บซากเพื่อนเฟิร์สไทม์
- งานการ์ดบายแกรนด์ รู้สึกว่าอันนี้เราทำขั้นตอนได้โอเคจนถึงตอนแจกการ์ดนั่นล่ะ วางแผนไม่ดี รับกันมั่วซั่วไปหมด ไม่ช่วยกันเลย แต่ก็บ่นคือคอนเซปคนคณะเรามากๆ
- งานออกแบบโลโก้อยากเป็นหมอ คือควรจะเป็นของม่อน งานนี้เป็นที่ทำให้รู้สึกถึงความยุ่งยากของงานใหญ่กว่างานรุ่น แล้วต้องการอาจารย์มารับรอง แก้นู่นนี่ สงสารปิ่นที่ต้องทำโปสเตอร์เหมือนกันนะ มันเหนื่อย
- งานออกแบบโลโก้ งานแข่งของคณะ โห นี่ก็นึกว่าจะรอด เค้นจินตนาการที่มีน้อยนิดในหัวออกมาแทบตาย ดีนะ ที่ได้ใช้ ไม่งั้นคงร้องไห้หนักจริงๆ เพราะโดนแก้บ่อยมาก ตั้งแต่รอบโมแล้ว พบว่าระบบสั่งงานห่วยมาก ไม่ได้ด่าเอามันส์นะ แต่ไม่มีคนรับผิดชอบและตัดสินใจขาดคนเดียวไปเลย มีแต่คนอยากแก้ๆ อยากให้มันดีๆ แต่ไม่มีทางออกที่เป็นรูปธรรมให้เรา จ้างเถอะคุณ !
- ทำงานพิเศษในร้านกาแฟ ในที่สุดก็ได้ทำงานพิเศษหลังจากที่อยากมานาน อันนี้สมัครไม่ยากเลย เค้าเอาแค่พูดอังกฤษกับเค้ารู้เรื่อง เราชอบถามให้เค้าเล่าเหมือนกันนะ สนุกดี บรรยากาศในร้านก็น่ารัก หอมกาแฟ มีแมว แล้วเค้าทำเองคนเดียว คือมันเหมือนหลุดมาจากฝันของใครหลายๆคนเลยล่ะ เราก็ได้เรื่องการฝึกทำงานด้านนี้ การทำตัวให้คล่องแคล่ว ทำตามลำดับ ยิ้มแย้มให้ลูกค้า รายละเอียดการวางของและเสิร์ฟของคุณเจ้าของร้านคือมากมาย. แต่คนน้อย เวลาไปทำแต่ละทีทถ้าคนเยอะคนได้อะไรๆมากในเวลาสั้นๆ ส่วนใหญ่เลยเอาไว้นั่งอ่านหนังสือรอคน คิดว่าจะเลิกแล้ว เพราะอยากทุ่มให้กับเป้าหมายปีหน้า
สรุป ถ้าถามว่าเป็นปีแบบไหน คงจะขอใช้คำเมือง "โฮะ" มาก อะไรไม่รู้ รับงาน อ่านหนังสือ มั่วซั่วไปหมด ไม่ค่อยจะจัดแพลนเท่าไหร่ด้วย ชอบพังแพลนตัวเอง ทำอะไรตามใจเยอะมาก ไม่ค่อยใช้เหตุผล จนตอนปลายปีกลับไปมองหลายๆ มันก็แอบเซ็งนะ แบบทำแบบนั้นทำไม ตอนใกล้จบปีก็เครียดได้ที่ เพราะเป็นมัสคูโลด้วยหรือเปล่าไม่รู้ เล่นเอาสติแตกเลยล่ะ น่าจะเป็นครั้งล่าสุดตอนใกล้สอบเอนทรายซ์นู่นมั้ง แต่พอมาตอนนี้จริงๆ ไม่เสียใจกับปีโฮะที่ผ่านมาเลยนะ มันสนุกอ่ะ มันพังดี มันรวมความแปลกใหม่ในชีวิตที่เราเชื่อว่าตัวเราตอนเด็กๆต้องเคยฝันถึงมั่งล่ะ ถึงจะไม่ใช่ความฝันหลัก แต่เราถือว่าเราไลองหลายๆรสชาติใหม่ๆแล้ว เราเลยอยากจะดึงตัวเองกลับมาหาอะไรที่ทำให้รู้สึกนิ่งมากขึ้น เพราะทั้งหมดทั้งมวลที่ทำมา ก็แค่ให้เรารู้ว่าจริงๆเราเป็นคนที่ชอบชีวิตแบบไหนมากกว่า ความอินทรอเวิร์ดไม่เข้าใครออกใครจริงๆ (ฮา)






2016 year resolution

- กล้าที่จะทำความรู้จักคนแปลกหน้าให้ได้มากกว่านี้ ถ้าอยากรู้จักก็ถามเลย เพราะนี่ก็อ้ำอึ้งไม่ถามพี่ที่ไปทัวร์ด้วยกันแล้วเพิ่งมารู้ทีหลังว่าพี่เค้าเรียนจิตเวชอยู่ ซึ่งโคตรน่าสนใจอ่ะ เซ็งตัวเองมาก
- ตั้งใจเรียน สักที เลิกเปรียบเทียบตัวเองตอนนี้กับตัวเองเมื่อก่อนได้แล้ว เรามีแต่เปลี่ยนไปๆ เปลี่ยนไปเป็นสิ่งที่ตัวเองอยากเป็นก็พอ อยากเรียนให้มันสุดๆไปสักบล็อกอ่ะ อยากรู้ว่าจริงๆแล้วจะทำได้มั้ย
- เลิกคิดเรื่องการถูกเข้าใจเพศผิด เราเป็นอะไร เขาจะมองยังไง ก็เรื่องของเขา ไว้จะจีบใครค่อยไปบอกเค้าทีหลังละกันนะ(เอ้ะ..)
- วาดรูปวันละ 1 รูป แล้วสักอาทิตย์ สองอาทิตย์ลงในอัลบั้มในเพจทีนีง จะได้มีวินัย แล้วก็ไม่ทิ้งจนมือฝืด
- วาดเรื่องสั้น สักทีเหอะ ตั้งเป็นเป้ามากี่ปีแล้วคะ สามหน้าก็นับนะ เอาดีๆสักอัน (การได้ออกโดก็ถึงว่ากล้าทำสักทีไปครั้งนึงแหล่ะเนาะ)
- มองตาคนอื่นตอนคุยมากขึ้น
- อ่านหนังสือที่ไม่ใช่หนังสือเรียนเดือนละเล่ม (ฟังดูน้อยและอ่อนมาก แต่ปีที่แล้วอ่านน้อยอยู่นะ)
- ออกกำลังให้ถึงวีคละสามวัน
- มีความสุข ในแง่ที่ มองสิ่งต่างๆที่ทำให้มีความสุข หาความสุขในมันมากๆ รับความรู้สึกด้านลบให้น้อยๆ คิดได้ เครียดได้ แต่รอบสองรอบก็มากพอแล้ว ที่เหลือมันเกิดขึ้นไปแล้ว ก็ปล่อยมันไปเยอะๆ ยิ้มเยอะๆ








สวัสดีปีใหม่นะ
แข็งแรงให้มากพอจะรับทั้งทุกข์และสุข (เครดิตจีทียู)

เราเอ