"จะเริ่มยังไงดี" เป็นช่วงเวลาลังเลที่แอบน่ารำคาญของเราเอง ที่พอรู้ตัวอีกทีก็ "อ้าว ผ่านไปอีกนาทีแล้ว"
เหมือนกับตอนเริ่มต้นปีของเรา ถ้านับจากเที่ยงคืน
"จะเริ่มยังไงดี" พอรู้ตัวอีกทีก็ "อ้าว ปีใหม่แล้ว"
(นึกภาพเรานั่งอยู่บนเตียง ถือมือถือคุยกับเพื่อน อีกมือนึงวาดรูปปีใหม่ มองทีวีรายการเกาหลี แล้วอยู่ๆน้องก็พูดว่า ปีใหม่แล้วนะ)
เริ่มง่ายๆเลยละกัน ช่วงนี้เราตกหลุมรัก
จะว่ายังไงดีล่ะ
...มันเริ่มจากคนข้างๆตอนนั่งรถบัสข้ามคืนที่ญี่ปุ่น หลังจากหลับไปสองสามตื่น พอบ่นเรื่องร้อนก็ยิ้มแล้วควักพัดออกมายื่นให้เฉย (จริงๆอยากขอเปิดแอร์...) ทั้งๆที่พัดดูน่าจะเป็นของที่ระลึกกลับบ้านแท้ๆ อ้อ เธอเป็นฝรั่ง สวมสเว็ตเตอร์มีฮู้ดสีเทา เจ้าเนื้อนิดๆ แล้วพอเราโดนมนุษย์จีนด้านหลังถีบเบาะก็สะดุ้งตื่น ก็เจอเธอนั่งอ่านนิยายในTabletอย่างไม่สนใจ ตอนลงทำให้รู้ว่าเธอมาเที่ยวคนเดียว ไม่แน่ใจว่าตอนเธอเดินไปเธอพูดอะไรหรือเปล่า แต่เหมือนคล้ายๆจะให้เที่ยวให้สนุก
จากนั้นก็คนข้างๆที่นั่งบนเครื่องบิน ที่เป็นชาติอะไรไม่รู้ รู้แต่ผมสีทอง สวมเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อนกับกางเกงขายาวเอวต่ำ สิวที่หน้าทำให้รู้สึกว่าอายุคงไม่ห่างกัน ท่าทางไม่ชอบข้าวเท่าไหร่ เพราะไม่สั่งเลย เธอมากับครอบครัวเหมือนว่าจะกำลังไปกรุงเทพ เธอมีพี่น้องอีกสองคน เหมือนเธอจะเป็นคนกลาง ที่มีหน้าที่(?)ทำหน้าเบื่อโลกขณะที่น้องๆครื้นเครง
คนข้างๆตอนนั่งกลับมาเชียงใหม่ เป็นสาวแว่นหมวยที่มีสีหน้าเรียบเฉยได้อย่างมาก ตกกระหน่อยๆ ไว้ผมยาวหางม้าด้านหลัง เสื้อเชิ้ตตารางทับเสื้อคอกลม ใส่ขาสั้นตามสมัยนิยม ดูมีกลิ่นอายของนักศึกษาอยู่พอสมควรอยากชวนไปแชร์ค่ารถแดงจัง
ลุงป้าคนญี่ปุ่นที่นั่งข้างๆบนรถแดง แปลกที่ลุงสะพายกระเป๋าผู้หญิง ป้าสะพายกระเป๋าเป้เหมือนของผู้ชาย ในมือถือแผนที่เชียงใหม่ที่ปริ๊นท์มาเอง แต่งชุดธรรมดานะ แต่รู้สึกถึงความเป็นญี่ปุ่นเอามากๆเลย อ้อ ที่น่าสงสัยอีกอย่างคือไปลงเซนทรัลกาดสวนแก้วที่อ้างว้าง
...
ใช่แล้ว
เราตกหลุมรักการสังเกตคนนั่งข้างๆล่ะ
อันที่จริงแล้วมันลามไปถึงการอยากชวนคุยด้วยซ้ำ แต่เราไม่กล้าหรอก ถึงจะมีคนรู้จักที่สามารถชวนคนนั่งข้างๆคุยได้อย่างสบายใจก็เถอะ เราก็ยังรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องที่ดูแฟนตาซีมาก เพราะคนรู้จักส่วนใหญ่เรารู้จักกันผ่านงานเขียนของเขานี่นา
อ้าว นึกยังไงอยากชวนแปลกหน้าคุย
คาดว่ามีต้นเหตุมาจากการเริ่มต้นอ่านหนังสือหลายแนวมากขึ้นในปีที่แล้ว
สำหรับเรา คนก็คล้ายๆหนังสือ ปกสวยบ้าง ปกไม่สวยบ้าง ปกยับเยินยู่ยี่บ้าง แต่เนื้อหาข้างในมันมีอยู่เยอะประหนึ่งเขียนด้วยอังสณา14 บางคนก็สัก 12 แล้วบางทีก็ลืมเว้นวรรค เขียนเต็มทุกบรรทัด เรารู้ว่ามันไม่ใช่หนังสือที่สนุกทุกเล่ม แต่มันมีความแตกต่างที่ทำให้รู้สึก "น่าอ่าน" ทุกเล่ม
การนั่งข้างๆก็เหมือนนั่งมองหนังสือเล่มหนึ่งอยู่พักใหญ่ๆ แอบพิจารณาเพราะหนังสืออาจจะด่าได้ถ้ารู้ว่าแอบมองเขา (//-//) เรารู้รอยยับ รู้มุมปกที่เผยอเล็กน้อย
แต่เราไม่มีสิทธิ์เปิด
เราจะได้อ่านเนื้อหาก็ต่อเมื่อหนังสืออนุญาตเรา เมื่อได้ "คุย" กัน หนังสือจะยอมเปิดตัวเองออก อาจจะมีลบลิขวิคไปเอง ข้ามบางหน้าไปบ้าง บางหน้าก็ถูกทากาวประกบกันสนิทไปแล้ว อย่างไรก็ตาม เราจะได้รับรู้เรื่องราวที่แตกต่างออกไป คิดแค่นั้นก็รู้สึกใจเต้นแรงอย่างบอกไม่ถูก
แต่ก็อย่างที่บอกไปแล้วคือไม่เคยและไม่กล้า
เพราะ เรากลัว
กลัวว่าเขาจะไม่ตอบ กลัวว่าเขาจะไม่สบายใจที่เราถาม กลัว กลัว กลัว กลัว กลัว
เหมือนที่ไม่กล้าจ่ายเงินซื้อหนังสือเพราะกลัวไม่สนุก กลัวเนื้อหา กลัวปก
แล้วโลกนี้ก็ไม่ได้น่ารักเสมอด้วยสิ ถ้าจะให้ไล่เรียงความกลัวล่ะก็ มีมากจนเป็นเหตุที่จะไม่ออกจากบ้านได้เลย
ถ้ามาพูดถึงเพื่อนทั่วไปที่ไม่ใช่คนแปลกหน้า
ตลกดีที่บางคนจบมอหกแล้วเราเพิ่งรู้สึกว่าเขาน่าสนใจ น่าคุยด้วย
ทั้งที่ตอนอยู่ในโรงเรียนไม่ได้รู้สึกอะไรเลย
มันเป็นเหมือนปรากฏการณ์เห็นปกเดิมบ่อยๆเวลาเข้าร้านหนังสือ(ส่วนใหญ่คือการ์ตูน)
บ่อยมากๆเราก็ชักจะหลอนว่าเปิดอ่านแล้ว ทั้งที่บางที่ยังเปิดไม่ถึงสามหน้าเลยด้วยซ้ำ..
แต่สิ่งที่เราทำให้ปีที่ผ่านมาคือเปิดใจจะทำความรู้จักกับหลายๆปก บางคำนำ
ยังไม่เก่งพอจะรู้จักเนื้อหาให้มากขึ้น บางจังหวะก็รู้สึกเสียดายจนวันสุดท้ายของปี
และนั่นเป็นเรื่องของปีข้างๆที่ถูกเขียนไปแล้ว
...หนังสือเล่มที่เรากำลังเห็นอยู่ทุกวันเป็นหนังสือที่พิมพ์ด้วยหมึกอย่างดี กระดาษล้ำสมัย
ไม่ว่าอะไรก็ลบไม่ได้ เผาไม่ได้ ทิ้งไม่ได้
หรือพยายามจะเอาสีอื่นทาทับมันก็...ได้นะแต่ตัวอักษรจริงๆก็เรียงรายอยู่บนกระดาษนั้นไม่หายไปไหนอยู่ดี
ก็ไอเดียการใช้ชีวิตทั่วๆไปนั่นแหล่ะ คืออดีตมันลบแก้ไม่ได้
หนังสือเล่มนี้ก็ถูกเขียนไปเรื่อยๆตลอดเวลาทุกวัน ทุกวินาที
รอตอนที่หมดเล่มจะมาบรรจบอีกครั้ง
ก็แล้วแต่ว่าเราจะปล่อยให้มันถูกเขียนไปยังไง จะคุณค่ากับมันแบบไหน
ก็เท่านั้นเอง
...
คิดว่าจบแล้วละสิ แต่อยากคุยกับตัวเองไว้หน่อย
- ลองอะไรใหม่ๆต่อจากปีที่แล้ว
/จักรยานเกิน 10 km /เที่ยวคนเดียว /ทำงาน /ตื่นเช้า /ทำอาหาร
- ตั้งเป้าเรื่องวาดรูปให้ชัดเจน และทำได้จริง เรื่องสั้นต้องได้เรื่องนึง ไม่งั้นก็เลิกวาดไปเถอะ
- เขียนบันทึกค่ายอย่างจริงจัง / หาค่ายเข้าอีก มันคุ้มเวลานะ เราว่า
- ลดการใช้สายตาโดยไม่จำเป็น อันนี้ต้องเริ่มจริงจังหลังสายตาสั้นพุ่งผสมเอียง
- มีภาษาที่สามที่จะสื่อสาร(พูด หรือ เขียน)ให้ได้ ให้เลือก [Fr/Ch/JP]
- คุยกับคนให้หลากหลายมากขึ้น
- มีความสุขกับชีวิตหลักสิบปีสุดท้าย ตัวเลขถึงจะไร้ความหมาย แต่ก็แสดงถึงความเป็นผู้มากขึ้นทุกวัน กับเรื่องที่เรากำลังจะเจอในอนาคต มันจะใหญ่กว่านี้ สำคัญกว่านี้ เพราะอะไรก็รู้อยู่ คิดว่าถึงวันนั้น ต้องพัฒนาความเป็นผู้ใหญ่อีกเยอะเลย
ปีที่ผ่านมาเป็นปีที่สุดโต่งมาก
ต้นปีแสนเครียด หกเดือนที่ว่างโล่ง รู้สึกไร้สาระอย่างหนำใจ
การอยู่กับ comfort zone สุดคุ้นเคย ออกไปสู่อะไรๆที่ใหม่เกือบทุกอย่าง
การเป็นลูกมันโคตรสบาย เทียบกับการรับผิดชอบชีวิตตัวเองทุกวันนี้
การเที่ยวโดยแม่เป็นไกด์ กับการเที่ยวเองกับเพื่อนแบบเหนื่อยเอง สนุกเอง เซ็งเอง (ฮา)
การอยู่ในที่ๆมีน้ำ ไฟฟ้าเข้าถึง กับที่ๆไม่มีอะไรเลย และพบว่าอยู่ได้อย่างมีความสุข
ตัดผมสั้นที่สุดในชีวิตแล้ว
ดูหนังบ่อยขึ้นมาก
การอยู่แต่ในบ้าน ไม่ชอบออกจากบ้าน กับการชอบออกไปที่อื่น หลงเอง เหนื่อยเอง
การก้าวผ่านเรื่องๆนึงที่ไม่คิดจะพูด กับการที่สามารถเล่าได้แล้วยิ้มออกมา
มันเป็นปีที่สำคัญ เพราะมีเรื่องที่เกี่ยวกับอนาคตในระยะยาวอยู่ชัด รู้สึกความคิดกว้างขึ้นอีกนิดหน่อย
แม้ว่าทุกปีก็มีความหมาย เพียงแค่ขอจำปีที่แล้วไว้เป็นพิเศษละกันนะ 2557
...ตอนนี้เราเดินมาปีข้างๆ 2558 ( รหัสเราด้วย เย่ )
เราไม่รู้หรอก ตอนนี้ได้แค่แอบมองกระดาษเปล่าๆพวกนั้น
บางทีแค่มองกระดาษเปล่าเนี่ย มันก็ตื่นเต้นแล้วนะ (เป็นคนเดียวใช่มั้ย)
ความรู้สึกตอนเริ่มต้นใหม่เนี่ย มันสนุกเกือบทุกครั้งเลยแหล่ะ
ปีนี้ก็ฝากส่วนหนึ่งของหนังสือของเราไว้ที่นี่อีกปีนะ
สวัสดีปีใหม่ :3