วันพุธที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2558

2 เดือนที่ยาวนาน



Based on true story



"สวัสดีค่ะ คุณตา วันนี้พวกเราเอาของขวัญปีใหม่มาให้นะคะ"


เสียงเพื่อนคนนึงของเราที่สดใส พูดกับชายสูงวัย ที่มีปัญหาทางร่างกายที่ทำให้ต้องนอนอย่างเดียว หรือที่เรียกกันว่า "ผู้ป่วยติดเตียง"

คุณตาพยักหน้าเล็กน้อย แล้วกล่าวขอบคุณ


"มาจากไหนกันน่ะลูก"


เสียงคุณตาเบาและแหบพร่าจนแทบไม่ได้ยิน แต่ก็มีเพื่อนของเราคนนึงจับใจความได้แล้วตอบไป


"มีใครเป็นคนที่นี่บ้าง แต่ก่อนผมน่ะเป็นอธิการนะ โรงเรียนที่นี่แหล่ะ"

เพื่อนบางคนอุทานด้วยความประหลาดใจ เพราะตัวเองก็มาจากโรงเรียนนั้น ไม่คิดว่าบุคคลนี้ยังมีชีวิตอยู่ หรือ ...ไม่คิดว่าจะมาอยู่ตรงนี้


"เด๋ยวนี้โรงเรียนเป็นยังไงบ้างแล้วล่ะ"

เพื่อนก็ตอบเรื่องต่างๆไปเท่าที่จะนึกออก บทสนทนาดำเนินไปอย่างตะกุกตะกักเล็กน้อย และเบา เพราะทั้งห้องผู้ป่วยที่เหลือนั้นเงียบสนิท จนแทบไม่อยากเชื่อว่ามีคนอีกเกือบสิบชีวิตนอนอยู่ร่วมห้องกัน



บรรยากาศในห้องเป็นห้องสีขาว ที่ผ่านการ "พยายาม" ตกแต่งอย่างมาก มีทั้งสีเพ้นท์ที่ดูสดใส ลวดลายเหมือนอยู่ในโรงเรียนอนุบาล ดอกไม้ปลอมที่ประดับตามกรงของผู้ป่วยสมองเสื่อมกันไม่ให้เดินหายไป




ว่ากันตามตรง
เป็นห้องที่ดูแลแสงไฟริบหรี่ ที่เรียกว่าชีวิต
ครอบแก้วไว้อย่างดีให้ไฟไม่หนีไป เจาะรูให้มีออกซิเจนเข้า เพื่อที่ไฟจะได้ไม่มอด
แต่...นี่ไม่ใช่เรื่องของเราที่จะแสดงความเห็นว่าควรทำอย่างไรกับไฟเหล่านี้

อดีตอธิการยังคงคุยกับเพื่อนเราไปเรื่อยๆ

"ผมเข้ามาอยู่ในนี้สองเดือนแล้วล่ะ เดี๋ยวอีกไม่นานลูกคงมารับแล้ว"

รอยยิ้มจางๆของเขาเกิดขึ้นบทใบหน้าที่ซีดเซียวและยับย่นนั้น เราไม่ทันดูว่าเพื่อยคนอื่นแสดงสีหน้าอย่างไร แต่เราก็อดยิ้มออกมาไม่ได้ ไม่ว่าใครคงจะอยากกลับไปอยู่กับครอบครัวอยู่แล้ว แทนที่จะอยู่ในที่ๆที่มีคนดูแลแต่เงียบเหงาขนาดนี้


หลังจากนั้นไม่นานเราก็เดินออกจากอาคาร พวกเราทันสวนกับเจ้าหน้าที่ที่ดูแลพอดี เพื่อนเลยถามถึงอดีตอธิการคนนั้น เหมือนว่าไม่อยากเชื่อ เจ้าหน้าที่ยืนยันว่าเป็นเรื่องจริง เขานี่แหล่ะ ญาติๆเขาก็เป็นคนบริจาคเงินสร้างอาคารนี้ด้วย...



.
.
.
เพียงแต่ว่าเขาอยู่ที่นี่มา 5 ปีแล้ว





เหมือนว่าความทรงจำจะหยุดไปแล้ว และความจริงก็คือไม่เคยมีใครมาเยี่ยมเขาเลยตลอดเวลาที่ผ่านมา


พวกเรานิ่งเงียบไป นานอยู่

เราเกิดโพล่งออกไปว่า ก็ดีแล้วมั้ง จะได้รู้สึกเหมือนอยู่ไม่นานไง
เพื่อนๆหันมามองแล้วยิ้มเฝื่อนๆแบบไม่รู้จะตอบว่าอะไร



...ก็ดีแล้ว ล่ะมั้ง ?




แต่ทำไมมัน

รู้สึกเศร้าขนาดนี้นะ...




วันอังคารที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2558

วันที่ฝันฟี้บลง




เคยได้ยินมั้ย ว่าความฝันเหมือนลูกโป่ง

หรือเรานี่แหล่ะ คิดว่าความฝันเหมือนลูกโป่ง (ที่อัดฮีเลียมด้วยนะ จะได้ลอยๆ)

  
     คุณสมบัติของความฝัน คือ เหมือนจะไม่จริง แต่ก็เป็นจริงได้ เวลาสัมผัสอาจจะไม่หนักแน่นเหมือนถือลูกบาส ไม่แข็งมั่นคงเหมือนลูกเบสบอล บีบแรงๆก็พร้อมจะแตกแล้ว และกลายเป็นเพียง "เศษซากความฝัน" ได้ทุกเมื่อ เมื่อมาดูถึงองค์ประกอบ ความฝันนั้นได้อัดแน่นด้วย"อะไรบางอย่าง" จนโป่งพองเป็นรูปเป็นร่าง เห็นชัด ไม่ว่าจะแค่ในมโนภาพของเรา หรือชัดเจนจนคนอื่นก็มองเห็น


     เราเป็นคนประหลาด 
ที่ชีวิตต้องถือลูกโป่งแบบนั้นในมือสักใบ สองใบ ..บางทีก็ห้าหกใบ เสมอ สำหรับเราแล้ว การปล่อยให้มือว่างๆ มันเหมือนกับการใช้เวลาไปอย่างเปล่าประโยชน์ถึงที่สุด ถือจะไม่ได้ทำอะไรกับลูกโป่งในมือก็ตาม แต่การมีมันถือเป็นอะไรที่เราจะต้องมีไว้ให้อุ่นใจ ไว้เป็นแรงบันดาลใจ ไว้มองแล้วยิ้ม บางทีก็ถือไว้เป็นสีสัน แล้วก้าวต่อไป
     
...ดังนั้นแล้วเราจึงนึกภาพชีวิตที่ไม่มีลูกโป่งไม่ออก

อันที่จริงแล้วเรานึกออกนะ 

แค่ไม่รู้ว่าชีวิตที่ไม่มีลูกโป่ง


 เราจะเดินต่อไปเพื่ออะไรอีก ?




ช่วงสองสามเดือนที่ผ่านมา เราได้ไปทำกิจกรรมเอนเตอร์เทนผู้สูงอายุที่บ้านพักคนชรา
(ภาษาเหนือเรียกคนแก่ว่า อุ้ย - ออกเสียงว่า อุ๊ย)

เราเคยวาดภาพไว้ว่า ถ้าไม่ใช่ที่ๆมีอุ๊ยคุยกันอย่างออกรส
มันก็เป็นสถานที่ที่เศร้าอย่างที่สุด

       แต่ว่าเราคิดผิด เพราะที่ๆเราไป ไม่มีทั้งสองอย่าง ไม่ได้มีใครสนิทสนมพูดคุย ไม่ได้มีใครเศร้าสร้อยกับชีวิตอย่างออกนอกหน้า เราไม่รู้ว่าจะอธิบายยังไงดี เพราะอุ้ยแต่ละคนก็มีพื้นที่ส่วนตัว บางคนนั่งฟังวิทยุ บางคนกวาดพื้นบ้าน บางคนดูทีวี ที่เห็นแล้วเป็นภาพที่ติดตาเรามากที่สุดคือ นั่งอยู่กับความเงียบ มองอากาศตรงหน้าอย่างตั้งใจ แบบที่ไม่คิดว่าเราจะยอมปล่อยให้ตัวเองนั่งนิ่งเฉยๆขนาดนั้นได้ (ถ้าไม่ได้ใช้ความคิดอยู่)


      เราขอขนานนามบรรยากาศแบบนี้ว่า บรรยากาศไร้ลูกโป่ง

        มันไม่ใช่บรรยากาศที่เศร้า หรือขาดความสุขไปขนาดนั้น
        
        มันแค่...นิ่ง
      
                เหมือนเราแค่หยุดเดิน แล้ว ปล่อย หรือ แขวน ลูกโป่งไว้สักที่หนึ่ง..



จากนั้นก็ไม่ได้คิดจะพูดถึงมันอีก  

แต่อาจจะคิดถึงมันอยู่ก็ได้ เราก็ไม่ได้ถามหรอก


                อุ้ยคนนึงเคยทำงานอยู่ที่ขนส่ง ชีวิตที่ผ่านมามีแต่การทำงาน คิดถึงแต่ความวุ่นวายของระบบงาน ช่วยเหลือคนดีบ้าง ไม่ดีบ้าง ทำหน้าที่เหมือนเป็นคนมองชีวิตคนอื่นมาโดยตลอด  แม้กระทั่งตอนนี้ ก็ยังคอยดูแลคนอื่น ดูว่าใครเป็นยังไง  สาเหตุที่อุ้ยมาอยู่ที่นี่เพราะ อุ้ยไม่มีครอบครัว มีแต่งาน รู้ตัวอีกทีที่พักที่ทำงานก็ไม่มีแล้ว เลยถูกส่งมาอยู่ที่นี่  ไม่รู้ว่าอุ้ยคนนี้เคยมีลูกโป่งมั้ย หรือว่าไม่คิดจะสนใจลูกโป่งแต่แรกก็ไม่รู้

              บางคนในนี้เป็นครูที่มีความรู้พูดได้หลายภาษา บางคนเป็นหมอนวดที่เก่งมาก บางคนเคยเป็นช่างแต่งหน้า ที่ตอนนี้แต่งได้แต่แก้มที่แดงเกินไปจนรู้สึกแปลกกับใบหน้าของเขา


               ยิ่งรับรู้เรื่องราวในนี้ เหมือนยิ่งเห็นอนาคตบุคลากรที่มีความสามารถต่างๆ ที่เจอจุดเปลี่ยนบ้าง เป็นโรคบ้าง จุดไม่เปลี่ยนบ้าง ที่มาตามระบบ ...ทำให้รู้ว่าบางทีคนในนี้ไม่ใช่คนที่ ถูกคนอื่นทอดทิ้ง หรอก ในแง่ที่ว่า ถ้าเราอยู่ตัวคนเดียวมาตั้งแต่แรกแล้ว จะไปถูกใครทิ้งได้ล่ะ เรากลับรู้สึกเฝื่อนๆ ที่แอบคิดในใจว่าบางคนในนี้คือคนที่ ทอดทิ้งตัวเอง ต่างหาก  ทำไมน่ะเหรอ ทั้งที่ยังเดินได้ หายใจได้ มีเรี่ยวแรงบ้าง อาจจะไม่มาก พร้อมกับเวลาว่างที่มากมายขนาดนี้ จะนั่งปล่อยให้ห้วงเวลาไหลผ่านตัวเราไปทำไม แทนที่จะเลือกคว้าลูกโป่งลูกใหม่ๆมาเป็นสีสันให้ชีวิต ....นี่เป็นความคิดในตอนแรกของเรา



                  เห็นด้วยกับเรามั้ย ?



                  เราคิดแบบนี้ จนวันสุดท้ายที่ทำกิจกรรม เราเจออุ้ยคนนึง กำลังดีดซึงอยู่ด้านหลังหออย่างคล่องแคล่ว แว่บแรกเราคิดว่าเขาคงจะเล่นเป็นก่อนมาอยู่ในสถานที่แห่งนี้ แต่หลังจากเขาไปขอให้เขาเล่นให้ฟังสักเพลง เขาก็เล่าให้ฟังว่า มาเริ่มเล่นในนี้ เล่นเป็นอยู่สองสามเพลงแล้ว  ถ้าได้ฟังก็บอกเลยว่าเพราะดี เป็นคนแรกที่เราพบว่าทำกิจกรรมใหม่ๆหลังเข้ามาอยู่ในนี้

                  อันที่จริงบางคนที่เคยคุยด้วยก็ไม่ได้ถูกใครทอดทิ้ง เพียงแต่ว่าเป็นโรคที่ต้องการคนดูแลตลอดเวลา เผื่อมีเรื่องร้ายแรงเกิดขึ้น บางคนก็เข้าไปอยู่เพื่อรอวันที่ลูกจะพร้อมมารับกลับไป


                 ไม่ควรจะเห็นด้วยหรอก (จริงๆนะ)


                เราผู้ซึ่งเพิ่งมา เห็นแค่ภาพของพวกเขาที่ไม่ได้ถือลูกโป่งอีกต่อไปแล้ว แต่อันที่จริง ชีวิตพวกเขาอาจจะผ่านลูกโป่งมาอันแล้ว อันเล่า ลูกโป่งลูกเดิมๆอาจจะถูกสูบมาซ้ำๆ จนเสื่อมและขาดไปแล้วกี่ร้อยรอบก็ไม่รู้ บางทีมันก็ถึงเวลาจะพักแขน มองลูกโป่งพองๆบางใบที่กลายเป็นจริง  และมองลูกโป่งบางใบที่กลายเป็นแค่ยางเหี่ยวเฉาระหว่างทางที่เราเดินผ่านมา
             

                 เพราะ งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา
                 ร่างกายเราก็เช่นกัน

                  พอจบงานเลี้ยงไม่ใช่ว่าทุกคนจะตายจากกันไป แต่ละคนแยกย้ายไปมีชีวิตของตัวเอง

    
                  ...เพียงแต่ว่างานนี้ออกไปแล้วกลับเข้ามาไม่ได้
                  ช่วงเวลาที่เหลือนั้น มีเอาไว้ให้นั่งสงบใจ แล้วนึกถึงช่วงเวลาดีๆของงานเลี้ยงนั้น


                   ด้วยข้อจำกัดหลายๆอย่างของร่างกาย ทำให้พวกเขาไม่ได้รับบัตรเชิญไปงานเลี้ยงอีกแล้ว

                   แต่ในความทรงจำ มันยังชัดเจนเสมอ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าแปลกดี
               
                              "อะไรใหม่ๆยายจำไม่ค่อยได้หรอกลูก จำได้แต่เรื่องเก่าๆน่ะ" 
                    
                              ...แล้วยายก็ตั้งท่าจะเล่าชีวิตตัวเองอีกม้วนให้เราฟัง


                    เราไม่รู้หรอกว่าถ้าเรากลับไปครั้งหน้า คุณตาคุณยายที่นั่นจะจำเราได้มั้ย หรือเราก็เป็นแค่ส่วนหนึ่งของความทรงจำระยะสั้น ที่สมองอาวุโสตัดสินใจว่าไม่จำเป็นต้องคงอยู่นานขนาดนั้น ก็ไม่รู้... เราก็ไม่รู้อีกแหล่ะว่า ช่วงเวลาสั้นๆที่ละครมีสาระที่แสดงให้ตายายดูมันสนุกจริงๆมั้ย รอยยิ้มมุมปากที่เผยอน้อยมากจนสังเกตได้ยากเหล่านั้น ได้ทำให้พวกเขาสบายใจขึ้นอีกสักนิดหรือเปล่า

                     เราไม่รู้เลย 
     
                     เรารู้แต่ว่า สำหรับเราแล้วมันเป็นประสบการณ์ครั้งหนึ่งที่มีค่ามากๆ เปิดโลกของเราให้กว้างอีกนิดหน่อย ได้เข้าใจคนอื่นมากขึ้นอีกนิด เข้าใจวันมากขึ้นอีกหน่อย เราพบว่า.
                
       

วันนึงเราจะแก่
วันนึงเราจะไม่เหลือใครเคียงข้าง
วันนึงเราจะหมดพลังในการฝัน
วันนึงเราจะหลงลืมเรื่องที่ผ่านมา
วันนึงเราจะปล่อยโลกหมุนไปโดยไม่ใส่ใจมันอีกต่อไป
วันนึงเราจะพบว่ามันยากเกินจะเข้าใจเรื่องรอบตัวแล้ว
วันนั้นคงจะเศร้าบ้าง


แต่วันนั้นเราจะต้องยังยิ้มได้
เพราะวันนั้นก็ยังเป็นวันนึงของเรา





เพราะกว่าเราจะปล่อยให้ถึงวันนั้น
ความฝันของเราคงจะลอยสดใสอยู่ข้างทาง
มีไว้ให้เรายิ้มเมื่อมองย้อนกลับไป
และเดินต่อไป เพื่อให้มันสุดทาง


วันนั้นจะต้องเป็นแบบนั้นแหล่ะ






หมายเหตุ : เป็นเอนทรี่ที่ดองนานมาก เริ่มเขียนตั้งแต่ยังไม่มีคำตอบให้ตัวเอง จนเจอคำตอบแล้ว และรู้สึกผิดเล็กน้อยที่มองว่าพวกเขาเศร้าขนาดนั้น ที่คิดแบบนั้นคงเป็นเพราะมันก็เป็นแค่ปลายทางที่เรายังไม่อยากให้มาถึง แค่นั้น...














วันจันทร์ที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2558

ปีข้างๆ กับ คนข้างๆ


"จะเริ่มยังไงดี" เป็นช่วงเวลาลังเลที่แอบน่ารำคาญของเราเอง ที่พอรู้ตัวอีกทีก็ "อ้าว ผ่านไปอีกนาทีแล้ว"

เหมือนกับตอนเริ่มต้นปีของเรา ถ้านับจากเที่ยงคืน

"จะเริ่มยังไงดี" พอรู้ตัวอีกทีก็ "อ้าว ปีใหม่แล้ว"
(นึกภาพเรานั่งอยู่บนเตียง ถือมือถือคุยกับเพื่อน อีกมือนึงวาดรูปปีใหม่ มองทีวีรายการเกาหลี แล้วอยู่ๆน้องก็พูดว่า ปีใหม่แล้วนะ)


เริ่มง่ายๆเลยละกัน ช่วงนี้เราตกหลุมรัก



จะว่ายังไงดีล่ะ


...มันเริ่มจากคนข้างๆตอนนั่งรถบัสข้ามคืนที่ญี่ปุ่น หลังจากหลับไปสองสามตื่น พอบ่นเรื่องร้อนก็ยิ้มแล้วควักพัดออกมายื่นให้เฉย (จริงๆอยากขอเปิดแอร์...) ทั้งๆที่พัดดูน่าจะเป็นของที่ระลึกกลับบ้านแท้ๆ อ้อ เธอเป็นฝรั่ง สวมสเว็ตเตอร์มีฮู้ดสีเทา เจ้าเนื้อนิดๆ แล้วพอเราโดนมนุษย์จีนด้านหลังถีบเบาะก็สะดุ้งตื่น ก็เจอเธอนั่งอ่านนิยายในTabletอย่างไม่สนใจ ตอนลงทำให้รู้ว่าเธอมาเที่ยวคนเดียว ไม่แน่ใจว่าตอนเธอเดินไปเธอพูดอะไรหรือเปล่า แต่เหมือนคล้ายๆจะให้เที่ยวให้สนุก

จากนั้นก็คนข้างๆที่นั่งบนเครื่องบิน ที่เป็นชาติอะไรไม่รู้ รู้แต่ผมสีทอง สวมเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อนกับกางเกงขายาวเอวต่ำ สิวที่หน้าทำให้รู้สึกว่าอายุคงไม่ห่างกัน ท่าทางไม่ชอบข้าวเท่าไหร่ เพราะไม่สั่งเลย เธอมากับครอบครัวเหมือนว่าจะกำลังไปกรุงเทพ เธอมีพี่น้องอีกสองคน เหมือนเธอจะเป็นคนกลาง ที่มีหน้าที่(?)ทำหน้าเบื่อโลกขณะที่น้องๆครื้นเครง

คนข้างๆตอนนั่งกลับมาเชียงใหม่ เป็นสาวแว่นหมวยที่มีสีหน้าเรียบเฉยได้อย่างมาก ตกกระหน่อยๆ ไว้ผมยาวหางม้าด้านหลัง เสื้อเชิ้ตตารางทับเสื้อคอกลม ใส่ขาสั้นตามสมัยนิยม ดูมีกลิ่นอายของนักศึกษาอยู่พอสมควรอยากชวนไปแชร์ค่ารถแดงจัง

ลุงป้าคนญี่ปุ่นที่นั่งข้างๆบนรถแดง แปลกที่ลุงสะพายกระเป๋าผู้หญิง ป้าสะพายกระเป๋าเป้เหมือนของผู้ชาย ในมือถือแผนที่เชียงใหม่ที่ปริ๊นท์มาเอง แต่งชุดธรรมดานะ แต่รู้สึกถึงความเป็นญี่ปุ่นเอามากๆเลย อ้อ ที่น่าสงสัยอีกอย่างคือไปลงเซนทรัลกาดสวนแก้วที่อ้างว้าง



...


ใช่แล้ว

เราตกหลุมรักการสังเกตคนนั่งข้างๆล่ะ

อันที่จริงแล้วมันลามไปถึงการอยากชวนคุยด้วยซ้ำ แต่เราไม่กล้าหรอก ถึงจะมีคนรู้จักที่สามารถชวนคนนั่งข้างๆคุยได้อย่างสบายใจก็เถอะ เราก็ยังรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องที่ดูแฟนตาซีมาก เพราะคนรู้จักส่วนใหญ่เรารู้จักกันผ่านงานเขียนของเขานี่นา


อ้าว นึกยังไงอยากชวนแปลกหน้าคุย

คาดว่ามีต้นเหตุมาจากการเริ่มต้นอ่านหนังสือหลายแนวมากขึ้นในปีที่แล้ว

สำหรับเรา คนก็คล้ายๆหนังสือ ปกสวยบ้าง ปกไม่สวยบ้าง ปกยับเยินยู่ยี่บ้าง แต่เนื้อหาข้างในมันมีอยู่เยอะประหนึ่งเขียนด้วยอังสณา14 บางคนก็สัก 12 แล้วบางทีก็ลืมเว้นวรรค เขียนเต็มทุกบรรทัด เรารู้ว่ามันไม่ใช่หนังสือที่สนุกทุกเล่ม แต่มันมีความแตกต่างที่ทำให้รู้สึก "น่าอ่าน" ทุกเล่ม

การนั่งข้างๆก็เหมือนนั่งมองหนังสือเล่มหนึ่งอยู่พักใหญ่ๆ แอบพิจารณาเพราะหนังสืออาจจะด่าได้ถ้ารู้ว่าแอบมองเขา (//-//) เรารู้รอยยับ รู้มุมปกที่เผยอเล็กน้อย



แต่เราไม่มีสิทธิ์เปิด



เราจะได้อ่านเนื้อหาก็ต่อเมื่อหนังสืออนุญาตเรา เมื่อได้ "คุย" กัน หนังสือจะยอมเปิดตัวเองออก อาจจะมีลบลิขวิคไปเอง ข้ามบางหน้าไปบ้าง บางหน้าก็ถูกทากาวประกบกันสนิทไปแล้ว อย่างไรก็ตาม เราจะได้รับรู้เรื่องราวที่แตกต่างออกไป คิดแค่นั้นก็รู้สึกใจเต้นแรงอย่างบอกไม่ถูก



แต่ก็อย่างที่บอกไปแล้วคือไม่เคยและไม่กล้า


เพราะ เรากลัว

กลัวว่าเขาจะไม่ตอบ กลัวว่าเขาจะไม่สบายใจที่เราถาม กลัว กลัว กลัว  กลัว    กลัว

เหมือนที่ไม่กล้าจ่ายเงินซื้อหนังสือเพราะกลัวไม่สนุก กลัวเนื้อหา กลัวปก
แล้วโลกนี้ก็ไม่ได้น่ารักเสมอด้วยสิ ถ้าจะให้ไล่เรียงความกลัวล่ะก็ มีมากจนเป็นเหตุที่จะไม่ออกจากบ้านได้เลย




ถ้ามาพูดถึงเพื่อนทั่วไปที่ไม่ใช่คนแปลกหน้า
ตลกดีที่บางคนจบมอหกแล้วเราเพิ่งรู้สึกว่าเขาน่าสนใจ น่าคุยด้วย
ทั้งที่ตอนอยู่ในโรงเรียนไม่ได้รู้สึกอะไรเลย

มันเป็นเหมือนปรากฏการณ์เห็นปกเดิมบ่อยๆเวลาเข้าร้านหนังสือ(ส่วนใหญ่คือการ์ตูน)
บ่อยมากๆเราก็ชักจะหลอนว่าเปิดอ่านแล้ว ทั้งที่บางที่ยังเปิดไม่ถึงสามหน้าเลยด้วยซ้ำ..


แต่สิ่งที่เราทำให้ปีที่ผ่านมาคือเปิดใจจะทำความรู้จักกับหลายๆปก บางคำนำ
ยังไม่เก่งพอจะรู้จักเนื้อหาให้มากขึ้น บางจังหวะก็รู้สึกเสียดายจนวันสุดท้ายของปี




และนั่นเป็นเรื่องของปีข้างๆที่ถูกเขียนไปแล้ว



...หนังสือเล่มที่เรากำลังเห็นอยู่ทุกวันเป็นหนังสือที่พิมพ์ด้วยหมึกอย่างดี กระดาษล้ำสมัย
ไม่ว่าอะไรก็ลบไม่ได้ เผาไม่ได้ ทิ้งไม่ได้

หรือพยายามจะเอาสีอื่นทาทับมันก็...ได้นะแต่ตัวอักษรจริงๆก็เรียงรายอยู่บนกระดาษนั้นไม่หายไปไหนอยู่ดี


ก็ไอเดียการใช้ชีวิตทั่วๆไปนั่นแหล่ะ คืออดีตมันลบแก้ไม่ได้
หนังสือเล่มนี้ก็ถูกเขียนไปเรื่อยๆตลอดเวลาทุกวัน ทุกวินาที


รอตอนที่หมดเล่มจะมาบรรจบอีกครั้ง
ก็แล้วแต่ว่าเราจะปล่อยให้มันถูกเขียนไปยังไง จะคุณค่ากับมันแบบไหน



ก็เท่านั้นเอง
...













คิดว่าจบแล้วละสิ แต่อยากคุยกับตัวเองไว้หน่อย

- ลองอะไรใหม่ๆต่อจากปีที่แล้ว
    /จักรยานเกิน 10 km /เที่ยวคนเดียว /ทำงาน /ตื่นเช้า /ทำอาหาร

- ตั้งเป้าเรื่องวาดรูปให้ชัดเจน และทำได้จริง เรื่องสั้นต้องได้เรื่องนึง ไม่งั้นก็เลิกวาดไปเถอะ

- เขียนบันทึกค่ายอย่างจริงจัง / หาค่ายเข้าอีก มันคุ้มเวลานะ เราว่า

- ลดการใช้สายตาโดยไม่จำเป็น อันนี้ต้องเริ่มจริงจังหลังสายตาสั้นพุ่งผสมเอียง

- มีภาษาที่สามที่จะสื่อสาร(พูด หรือ เขียน)ให้ได้ ให้เลือก [Fr/Ch/JP]

- คุยกับคนให้หลากหลายมากขึ้น

- มีความสุขกับชีวิตหลักสิบปีสุดท้าย ตัวเลขถึงจะไร้ความหมาย แต่ก็แสดงถึงความเป็นผู้มากขึ้นทุกวัน กับเรื่องที่เรากำลังจะเจอในอนาคต มันจะใหญ่กว่านี้ สำคัญกว่านี้ เพราะอะไรก็รู้อยู่ คิดว่าถึงวันนั้น ต้องพัฒนาความเป็นผู้ใหญ่อีกเยอะเลย




ปีที่ผ่านมาเป็นปีที่สุดโต่งมาก
ต้นปีแสนเครียด หกเดือนที่ว่างโล่ง รู้สึกไร้สาระอย่างหนำใจ
การอยู่กับ comfort zone สุดคุ้นเคย ออกไปสู่อะไรๆที่ใหม่เกือบทุกอย่าง
การเป็นลูกมันโคตรสบาย เทียบกับการรับผิดชอบชีวิตตัวเองทุกวันนี้
การเที่ยวโดยแม่เป็นไกด์ กับการเที่ยวเองกับเพื่อนแบบเหนื่อยเอง สนุกเอง เซ็งเอง (ฮา)
การอยู่ในที่ๆมีน้ำ ไฟฟ้าเข้าถึง กับที่ๆไม่มีอะไรเลย และพบว่าอยู่ได้อย่างมีความสุข
ตัดผมสั้นที่สุดในชีวิตแล้ว
ดูหนังบ่อยขึ้นมาก
การอยู่แต่ในบ้าน ไม่ชอบออกจากบ้าน กับการชอบออกไปที่อื่น หลงเอง เหนื่อยเอง
การก้าวผ่านเรื่องๆนึงที่ไม่คิดจะพูด กับการที่สามารถเล่าได้แล้วยิ้มออกมา

มันเป็นปีที่สำคัญ เพราะมีเรื่องที่เกี่ยวกับอนาคตในระยะยาวอยู่ชัด รู้สึกความคิดกว้างขึ้นอีกนิดหน่อย

แม้ว่าทุกปีก็มีความหมาย เพียงแค่ขอจำปีที่แล้วไว้เป็นพิเศษละกันนะ 2557



...ตอนนี้เราเดินมาปีข้างๆ 2558   ( รหัสเราด้วย เย่ )
เราไม่รู้หรอก ตอนนี้ได้แค่แอบมองกระดาษเปล่าๆพวกนั้น

บางทีแค่มองกระดาษเปล่าเนี่ย มันก็ตื่นเต้นแล้วนะ (เป็นคนเดียวใช่มั้ย)
ความรู้สึกตอนเริ่มต้นใหม่เนี่ย มันสนุกเกือบทุกครั้งเลยแหล่ะ






ปีนี้ก็ฝากส่วนหนึ่งของหนังสือของเราไว้ที่นี่อีกปีนะ

สวัสดีปีใหม่ :3