วันอาทิตย์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

ล้มก็ลุกดิ แต่ลุกแล้วไงต่อล่ะ

วันก่อนค่ะ
เราล้มค่ะ
ขี่จักรยานแล้วก็สะดุดอุปสรรคที่เห็นจะๆตรงหน้า

ล้มเลย ตัวลอยนิดหน่อยด้วยมั้ง

ตอนล้มลงไปก็เจ็บนิดหน่อย ตกใจแว่บนึงที่ลุกทันทีไม่ได้เหมือนตอนล้มปกติ (เราล้มบ่อย)
เรารีบลุก มียามแถวนั้นมาช่วยตั้งจักรยาน

แล้วเราก็ยืนกะจะขึ้นจักรยานไปต่อ

พบว่ามือสั่น

ขาสั่น

หัวใจเต้นแรงมากตอนนั้น ร่างกายค่อยๆส่งสัญญาณไปบอกสมองช้าๆ ว่า


กุเจ็บ


จนต้องยืนเฉยๆกับที่

ทำได้แค่ ลุกขึ้น

ยามคนนั้นยืนข้างๆ คงกลัวเราล้มไปอีก ถามว่าเราเจ็บมากมั้ย เป็นอะไรหรือเปล่า สมองเราตอนนั้นตะโกนว่าเจ็บฉิบหาย ที่ปากตอบไปอย่างไม่คิดว่าไม่เป็นไรค่ะ เจ็บนิดหน่อย

โกหกไวมาก แต่ไม่ได้ตั้งใจหรอก
ชั่วพริบตานั้นเราคิดว่าการบอกระดับความเจ็บที่แท้จริงไปมันไม่ได้แก้ไขสถานการณ์อะไรเลย

แม้เราจะไม่มีแรงจะก้าว และได้แต่ยืนสำรวจแผลอยู่ตรงนั้น
เห็นเลือดนิดหน่อยจากแขน มันยังไม่ทันเลือดออกด้วยแหล่ะ เลยทึกทักเอาเองว่าถลอกนิดเดียว
แต่จริงๆมันเจ็บไง เพราะเอาด้านขวาลง รับน้ำหนักตัวเองไปเต็มๆ

คิดอะไรไม่ค่อยออกเลยเอาผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดๆ เศษดินฝังเข้าไปในผิวที่ถูกครูดขึ้นไป ดูแล้วน่ากลัว


ล้มก็ลุก ลุกแล้วก็ต้องเดินต่อไป

เพราะเรามีงานที่ตกปากรับคำไปแล้วว่าจะทำ จึงเร่งเดินทางต่อไป
แต่ก็สัมผัสได้ถึงความเจ็บที่เข่า (ที่ใส่ขายาว)


ขี่จักรยานไปได้ไม่นานก็เลยหยุดจอด หาที่พิจารณาแผลชัดๆอีกที

ตอนนั้นเองที่ได้มองแผลชัดๆ เห็นร่องของผิวที่โดนกรีดลงไปเป็นรอย เลือดสีแดงสดๆซึมๆออกมาที่ขอบ ส่วนที่แขนก็เป็นปื้นแดงๆเหมือนโดนตบ แต่ดูดีๆมันคือรอยเลือดที่ซึมออกมา

เราทำใจเย็น เอาน้ำล้างแผล เช็ดๆ แล้วก็ผูกแผลแค่ช่วงขาที่ดูจะเลือดออกเยอะสุด
เป็นการทำแผลที่น่าเกลียดและไม่ควร เพราะคาแผลไว้กับความสกปรก อนาถมาก

เดินไปสักพักแล้วรู้สึกเหมือนหน้ามืดกับการเห็นแผลตัวเอง
ตลกดี ไม่เคยเป็นมาก่อน


เหมือนเวลาเจอปัญหาที่คิดว่ามันทั่วไปมากๆ
แต่เราเองไม่เคยมาก่อน
เราทำตามคำบอกเล่าวิธีแก้เท่าที่รู้
แต่เราก็พบว่าปัญหานั้นมันแปลกและแรงสำหรับเราไม่ใช่น้อย


ล้มก็ลุก ลุกแล้วก็ต้องเดินต่อไป ได้ไม่นาน 
ถ้าแผลจากการล้มมันลึกมาก
ก็ต้องพักไปเรื่อยๆ

สักพักก็ออกเดินต่อไปเข้างานแสดงโชว์ ชมรม (เราไปนั่งสอนวาดรูป)


นั่งแบบนั้นทำให้ลืมแผลไปเลย เอาแค่เราเจ็บขานิดหน่อยก็พอ
เหมือนลืมสภาพเลือดและอาการหน้ามืดชั่ววูบตอนนั้น


ล้มก็ลุก ลุกแล้วก็ต้องเดินต่อไป ได้ไม่นาน 

เราจะหลอกตัวเองว่ามันไม่เป็นไรก็ได้ แต่จริงๆแผลมันก็ยังอยู่ตอนนั้น.



กว่างานจะจบจริงๆ อีกสองสามชม. กว่าจะถึงหอ มามองแผลชัดๆอีกที

สกปรกมาก และลึกประมาณนึง
ที่ซึ้งกว่าคือ ต้องทำความสะอาด หลักคือต้องทำแผลให้สะอาด
เป็นอะไรที่ลำบากกว่าการขจัดคราบห้องน้ำฝังแน่น

เพราะมันหนึบมาก แถมแค่น้ำโดนมันก็แสบสุดๆ
แสบจนไม่รู้จะทำยังไง
ครั้งล่าสุดที่ล้มเป็นแผลขนาดนี้มันนาานมากแล้ว

ตอนนั้นแม่ก็เป็นเช็ดให้
ตอนนี้เราเอง ต้องบังคับมือสั่นๆของตัวเอง ให้เช็ดลงไป
ทุกอย่าง มันคือเรา
มีตัวเอง ดูแลตัวเอง

ไม่รู้ว่าแสบมาก หรือมันเป็นอารมณ์ที่ต้องการที่พึ่งมาก

เรานั่งสะอื้นอยู่พักหนึ่ง
 สะอื้นเหมือนว่า จะมีใครมาปลอบ ให้หาย
ซึ้งไม่มีใคร


เพิ่งรู้ว่าการเผชิญหน้ากับบาดแผล
มันสร้างความเจ็บ แสบ ได้ขนาดนี้


เราจะทำตัวลืมแผลนั่นไปก็ได้
แต่ไ้ต้ไม่นาน แผลน้นต้องสะอาด

ถึงเราจะต้องแสบขนาดไหน....

เราก็ต้องเผชิญกับมันอยู่ดี


แต่สุดท้าย เราก็ทำความสะอาดได้ไม่หมด
อีกวันก็ไปเข้าคิวใช้สิทธิ์นศ.ทำแผลฟรี


พี่พยาบาลสองคนมารุมเช็ดพร้อมกัน
แสบกว่าที่เช็ดเองสามเท่า


เป็นปัญหาของเรา ที่แก้เองแล้วมันไม่เรียบร้อย
พอคนอื่นมาแก้ให้ มันก็ดีขึ้น
ถึงมันจะเจ็บมากก็ตาม


ในที่สุดมันก็สะอาด เรียบร้อย

ค่อยๆฟื้นตัว ตามแต่ละเช้าที่เราตื่นขึ้นมา



ล้มแล้วมันลุกเลยก็ได้อยู่ แต่ไอ้ครั้นจะให้เดินต่อไปแบบปกติเลยน่ะมันไม่ได้หรอก

มันต้องผ่านอะไรอีกหลายๆอย่าง



อย่างพอมันเหมือนจะหายๆ ก็เริ่มคัน เหมือนว่าปัญหาที่เราสร้างไว้จบ แต่ผลกระทบมันไม่ได้จบไปด้วย
เราไม่ได้ผ่านมันแล้วผ่านเลยไป ถ้าพลาดอะไรไปแล้วจริงๆ มันก็ไม่ได้จบตรงนั้นที่เคลียร์กันรู้เรื่อง


มันยังตามมาคันอีกเป็นระยะๆ



นั่นแหล่ะ เพราะฉะนั้น
ขี่จักรยานคราวหน้าตรงนั้นจะขี่ให้ช้าลง

อื้ม




วันเสาร์ที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

พิเศษ ทำไม งาน สมัคร อะไร

วันนี้นึกไรไม่รู้ตะลุยหางานพิเศษอีกรอบ
คงเกิดจากการถกกับเพื่อนวันก่อน
ไลน์กับเพื่อนอีกวันนึง

เป็นความโชคดีที่แทบไม่เคยเกิดในชีวิต
งานพิเศษเฉพาะวันอาทิตย์

....โคตรดี เราก็ว่างอยู่แค่นั้นด้วย

โทรไปถามเสร็จสรรพ "เข้ามาได้เลยค่ะน้อง มาลองคุยเวลาว่างน้องดู เอกสารไว้ก่อนก็ได้"

.....เป็นประโยคที่ไม่เคยเจอมาก่อนในการหางานที่กรุงเทพฯ

ที่มีแต่

"ทำทุกวันน่ะน้อง ถ้าไม่ไหวก็อย่าเลย"
"เวลาตามนี้นะคะน้อง ได้เลยค่ะ (แล้วก็ไม่ติดด่อมาอีกเลย)"
"คนมันเยอะวันนี้น่ะ ยังไงก็ต้องมา"



งานในฝันชัดๆแบบนี้ !



...ช่วงประมาณห้าโมงเย็น

....ปกติสมัครงานเค้าใส่อะไรไปกันนะ ถ้าไม่เรียบร้อยจะเหมือนคราวก่อนอีกป่ะวะ...
.....เค้าแต่งหน้ากันมั้ยเนี่ย แล้วถ้าแต่งนี่มันจะเยอะไปมั้ย
.....เยอะไปป่าววะ เช็ดออกแม่ม

สุดท้ายก็ขี่จักรยานเหงื่อโทรมไปถึงอยู่ดี
แอบแว่บเข้าห้องน้ำเล็กน้อยดูสภาพตัวเอง

เอาละ !

"สวัสดีค่ะ มาถามเรื่องพาร์ทไทม์"
"อ้อ ปิดรับแล้วค่ะ"


".................คะ ? เอ่อ ที่เพิ่งโทรมาเมื่อกลางวัน"
"ค่ะ พอดีเพิ่งได้น่ะค่ะ"

.
.
.
.
.
...ความคิดที่ว่าการหางานพิเศษทำอยากยาวนานกำลังจะจบลง มันได้ถูกฉีกกระขากออกไป

"..ขอบคุณค่ะ"


สมองเหมือนหยุดทำงาน ความหวังพังทลายเหมือนไปสารภาพรักแล้วโดนปฎิเสธ
โดยเฉพาะเป็นรักที่รอมาอย่างยาวนาน

(โอเวอร์ฉิบ)

อันที่จริงถ้าเราไม่รอแดดร่มแล้วขี่จักรยานออกไปตั้งแต่ตอนนั้นเลยเราก็ได้งานแล้วมั้ยนะ
มันเป็นเพราะเราดันไม่พุ่งเข้าไปหาโอกาสทันทีเองนี่หว่า
เพราะเราปล่อยให้มันหลุดมือไปด้วยความตายใจ และคิดอะไรยิบย่อยเกิน
โอกาสที่หลุดไป ก็เพราะเรานั่นแหล่ะ


เนื่องด้วยสมองพัง จึงขี่จักรยานวกวนไปอย่างไร้จุดหมายในตัวเมือง
จะไปขัวเหล็กก็หาทางที่ถูกไปไม่ได้สักที

ร้านเหล้าร้านแล้วร้านเล่าได้ผ่านสายตาไป
เดี๋ยวก็จอดซดซะเลยนี่ (อายุยังไม่ถึงนะ...)

สมองเริ่มแห้งไปพร้อมๆกับปากที่เริ่มแห้งเพราะหน้าปะทะลม
ทำให้กลายเป็น อดอยากปากแห้ง (ตึ่งโป๊ะ)


สุดท้ายก็กลับถิ่นคุ้นเคย นิมมานเหมินทร์ ไปจบลงที่ร้านน้ำผลไม้ สั่งมะม่วงปั่น (ที่มีส่วนผสมของน้ำเปล่าน้อย) นั่งซดย้อมใจ พร้อมอ่านนิยาย


อร่อยจัง...

เห็นที่หน้าร้านว่ามีแปะรับพนง. part time เราก็เลยนั่งชั่งใจ ปล่อยให้จิตใจที่บอบช้ำจากการปฎิเสธได้ฟื้นตัว(ว้อท) ดูๆ ตัวร้านก็ดูวุ่นวายใช่ย่อย อันที่จริงพนง.แทบไม่ได้คุยกันด้วยซ้ำเพราะตั้งใจทำงานอยู่ มันคงไม่ใช่ร้านง่ายๆชิลล์ๆแบบร้านก่อนหน้าเท่าไหร่ เพราะที่นี่ก็ขายดิบขายดี ทั้งไทยทั้งเทศก็นั่งกิน

นั่งอยู่สักพัก จนตัดสินใจลุกไปถามเงื่อนไขการสมัครงาน

"เอาใบสมัครไปกรอกเลยก็ได้ครับ"

เห้ะ ห้ะ จริงดิ

"นี่ครับ ไปกรอกข้างนอกนะ"

จากสภาพลูกค้านั่งแอร์เย็นในร้าน ก็ถูกเนรเทศออกไปนอกร้านอย่างฉับพลัน !!!


พอกรอกเสร็จ จะไปยื่นให้พนง.ที่เคาทน์เตอร์คนเดิม
เค้าก็บอกให้ไปสัมภาษณ์เลย


เห้ยยยยยยย ยังไม่ได้เตรียมใจเตรียมบท เตรียมอะไรทั้งนั้น
แต่ก็เดินออกไปนอกร้าน ที่อีกโต๊ะนึง มีพี่ผู้ชายนั่งอยู่


"สวัสดีค่ะ"
"สวัสดีครับ ขอดูประวัติหน่อยครับ"

ยื่นใบสมัครไปให้พี่อย่างกล้าๆกลัวๆ เขาเป็นผู้ชายที่ดูเนี๊ยบ สะอาด และท่าทางจะเป็นเมเนเจอร์แน่แท้...


บทสนทนาประมาณ

"น้องอยู่คณะนี้แล้วทำไมอยากทำงานแบบนี้ล่ะ พี่ให้ชม.ละ 30 บาทนะ ไปสอนพิเศษจะรายได้ดีกว่ามั้ย"
(เห้ย 30 เองเหรอคระ ค่าแรงขัั้นต่ำล่ะคระ)
"คือ อยากลองทำงานแบบนี้น่ะค่ะ (หนูชอบทำให้ชีวิตลำบากค่ะ)"

"เรียนก็หนักแล้วนะ งานหนักมากนะ พี่ให้ทำทุกอย่างเลยทั้งปัดกวาดเช็ดถู ทำผลไม้ นู่นนี่"
"ค่ะ"

---แล้วก็ถามรายละเอียดเรื่องอื่นๆ อย่างเกรด บ้านอยู่ไหน พ่อแม่ทำงานอะไร หออยู่ไหน เดินทางยังไง
เรามีข้อดีข้อเสียยังไง รู้รายละเอียดเกี่ยวกับพี่เขานิดหน่อย สาเหตุที่ตั้งร้านคือชอบทำ เพราะเขาจบด้านอื่นมา มีร้านอีกสองที่แถวๆมอเราด้วย บลาๆ


แล้วพี่ก็ย้ำอีกที

"อยากให้เราเอาไปคิดดูก่อน ว่าจะทำงานแบบนี้ไหวมั้ย ทำได้นานแค่ไหน เพราะมันเสียเวลานะ ทั้งเราทั้งพี่ พี่ที่สอนให้เราทำงานเป็น เราก็มาใช้เวลากับการทำงาน

เพราะเวลามันเป็นอะไรที่ใช้เงินกี่ล้านก็ซื้อกลับไปไม่ได้นะ

เราลองเอากลับไปคิดดีๆ"


จู่ๆ สถานการณ์การเข้าไปสมัครงาน ผลลัพท์กลับเป็นว่า "เรา" ต้องเป็นฝ่ายเอาไปพิจารณา
ทั้งที่ปกติ "ร้าน" ต่างหาก ที่ต้องพิจารณาเรา


ทำเอาเราอึ้งไปครู่ใหญ่เลยทีเดียว เหมือนว่าเราคิดแต่ว่าอยากทำๆ แต่จริงๆอาจนึกไม่ถึงว่าเวลาที่จะใช้ไปกับตรงนี้ ก็คือ "เสีย" ไปเหมือนกัน ....แต่เราว่าเราคิดดีแล้วล่ะ เราอยากจะ"ใช้"ช่วงหนึ่งของชีวิต แลกมากับประสบการณ์แบบนี้

...มันคงมีอะไรขาดหายไปบ้างแหล่ะ แต่เราก็ได้แต่หวังว่ามันจะคุ้มค่า



สุดท้ายก็คือจะได้สัมภาษณ์แบบจริงจังตอนเทอมสอง เพราะเทอมนี้เราจะทำงานได้แค่ช่วงสั้นเกินไป

อะไรก็ได้ทั้งนั้นน่ะตอนนี้


ขอโอกาสสักครั้งก็พอ :x
ขอบคุณทั้งสองร้าน ที่สอนอะไรบางอย่างให้กับเรา