วันพฤหัสบดีที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2558

เธอ


ฉันกลัวเธอ


ฉันควรจะเริ่มอธิบายยังไงกันนะ
เอาตอนที่เราเจอกันครั้งแรกแล้วกัน

...

ฉันจำไม่ได้ชัดเจนเท่าไหร่ แต่วันนั้นที่ฉันก้าวเข้าไปในห้องสี่เหลี่ยมผืนผ้า
เธอคงส่งมือมาให้ฉัน ไม่ได้พูดอะไร
แต่มือของเธอนั้นบอกฉันว่า ไม่ต้องกลัวนะ เราจะไปด้วยกัน

เธอเป็นคนสอนง่ายที่หัวรั้น
ถ้าเธอได้เชื่ออะไรสักอย่างแล้วมันยากมากที่จะเถียงเธอชนะ
แม้ว่ามันจะไม่ค่อยมีเหตุลเท่าไหร่เมื่อมองกลับไป

เธอชอบการชนะ
ไม่ได้หมายความว่าเธออยากจะเป็นที่หนึ่ง เธอไม่สนใจเรื่องพวกนั้นหรอก
เธอแค่ชอบที่จะอยู่ข้างที่"ถูก" ชอบที่จะอยู่ในระดับ"ต้นๆ"
เธอทำทุกอย่างอย่างตั้งใจว่ามันจะออกมา "ดีที่สุด"ของเธอ

เธอไม่ได้สนใจคนอื่นๆ หรือตัวเลข

นั่นเป็นส่วนของเธอที่ฉันชอบ

...

ด้วยความต้องการจะให้สิ่งต่างๆออกมาดี สิ่งที่ตามเธอมาโดยไม่รู้ตัวคือ
"การเป็นผู้นำ"
จากมุมมองของฉัน เธอเป็นผู้นำที่ "ผลลัพธ์ออกมาดี"
การทำงานของเธอใกล้เคียงกับคำว่า "งานเดี่ยว" มากกว่า
ซึ่งนั่นหมายความว่าเธอเป็นผู้นำที่ห่วยแตก

แต่เธอคงเถียงฉันว่า เพราะการตัดสินใจที่เฉียบขาดของเธอ ทำให้หลายๆอย่างผ่านมาได้ดี
ฉันคงได้แต่พยักหน้า แล้วนึกถึงความผิดพลาดของเธอเสียมากกว่า
ไม่รู้ว่าทำไม


ฉันไม่แน่ใจว่าเพราะทั้งหมดนั้น เธอเลยเป็นคน "เครียด" หรือเปล่า
ด้วยความที่เราโตมาพร้อมกัน ฉันเองก็ไม่รู้หรอกว่าทุกครั้งที่เธอขมวดคิ้ว หรือนั่งเงียบๆใช้ความคิด

นั่นคือสิ่งที่ผู้ใหญ่เรียกกันว่าเครียดหรือเปล่า

หลังจากเธอรู้จักคำนี้ เธอก็เหมือนจะเครียดเข้าไปอีก รอยยิ้มของเธอกลับจางลง หาเจอยากขึ้น

ฉันไม่เข้าใจเธอเลย

---

ฉันเป็นคนเงียบมากตอนที่เจอเธอครั้งแรก
ฉันคิดว่าฉันคงจะกลัวทุกอย่างรอบตัวมาก แต่มันคงอยู่ลึกเกินไป
ไม่มีใครเห็นว่าฉันกลัว แต่เธอคงเห็น

ไม่อย่างนั้นเราคงไม่ได้จับมือกันวันนั้น


ฉันไม่ค่อยมีความคิดเห็น หรือแรงปรารถนาที่จะทำอะไรเป็นพิเศษ

พอเรียงประโยคเป็น ฉันเลือกจะตั้งคำถามว่าเรามีชีวิตอยู่ทำไม เพื่ออะไร
และพบว่ามีแต่ความเงียบที่สะท้อนกลับมา

ต่างกับเธอ ที่มีคำตอบมากมาย เธอเป็นคนจริงจังที่มีความฝันหลายอย่าง

คิดว่าเป็นเพราะเธอ ตอนนั้นฉันจึงได้รับอิทธิพลมาพอสมควร

---

เธอเป็นคนโกรธง่าย หายเร็ว
บางอย่างเธอทำไปด้วยอารมณ์ เธอไม่มีความคิดจะปิดบังความรู้สึกเลยแม้แต่น้อย
เหมือนจะประกาศว่าโลกต้องเข้าใจถึงความไม่พอใจของเธอ

แต่เธอรู้ดีว่าโลกไม่ได้หมุนรอบตัวเอง
แม้เธอจะสนใจแค่ ตัวเอง คนที่เธอรัก สิ่งที่เธอชอบ สิ่งที่เธอต้องทำ

ต่างกับฉันที่สนใจไปแทบทุกอย่าง คนที่รัก คนที่เกลียด

แต่ฉันกลับไม่ได้แสดงออกถึงความใส่ใจได้แบบเธอ
นั่นละมั้งคือสิ่งที่ทำให้คนอื่นชอบเธอ

เธออาจจะดูอารมณ์หยาบ แต่เธอกลับละเมียดละไมกับสิ่งเล็กๆน้อยๆอย่างมีความสุข
หลายครั้งฉันก็ยิ้มไปกับเธอ
หลายครั้งที่เธอพลาด เธอเจ็บปวด
ฉันก็ได้แต่ยืนข้างๆเธอ ไม่ได้พูดอะไร

...

หลายเดือนแล้วที่ฉันไม่เจอเธอ
นี่คือรูปแบบการโตเป็นผู้ใหญ่อย่างหนึ่งหรือเปล่า
ที่เราจะต้องสูญเสียบางอย่างไว้ด้านหลัง

อันที่จริง
เราทะเลาะกันครั้งสุดท้ายที่เจอกัน

เธอเป็นเหมือนทุกที
แต่ฉันไม่ใช่

เธอเลือกจะโกรธ และบอกว่าฉันผิดตรงๆ
ฉันเลือกจะไม่ฟัง ส่ายหน้า

ฉันไม่อยากยอมรับว่า ฉันทำมันคนเดียว เพราะเธอไม่เตือนฉันต่างหาก

ฉันไม่แน่ใจว่าเธอพูดอะไร แต่เธอยื่นข้อเสนอให้ฉัน

เธอบอกฉันว่าฉันต้องเลือกแล้ว ถ้าฉันเลือก แล้วทุกอย่างเธอจะทำให้เหมือนเคย
จับมือเธอไว้ เชื่อใจเธอไว้
แต่ฉันต้องตัดสินใจแล้ว

ทางหนึ่งคือเดินไปด้วยกันสักพัก แล้วทิ้งเธอไว้ตรงนั้น แล้วไปต่อคนเดียว
อีกทางหนึ่งคือทางที่เธอจะเดินไปด้วยได้


ฉันจำไม่ได้ว่าน้ำตาฉันมันพร่าหรือเปล่า
ฉันขีดฆ่าทางที่เลือกไปสองสามครั้ง



ฉันยืนอยู่บนทางที่ไม่มีเธอ



ฉันเดินตามเธอไปก็จริง แต่ฉันไม่ได้จับมือเธอแล้ว
พอถึงเส้นชัย เธอหันมายิ้มกับฉันอย่างโล่งใจ
บอกฉันว่าเธอขอพักสักหน่อย ฉันไปก่อนได้เลย เธอจะตามไป

แปลกมั้ยที่ฉันไม่เคยยินดีกับเส้นชัยนี้เลย
ถึงอย่างนั้นฉันก็สนุกกับหนทางหลังจากนั้น


นานกว่าฉันจะรู้ว่าเธอยังไม่ตามมา

ตอนที่ฉันหลงทาง ฉันหมุนตัวสามสี่รอบ ฉันไม่รู้ว่าควรจะทำยังไง
มือฉันสั่น เสียงฉันสั่น ฉันยืนอยู่ต่อหน้าคนจำนวนขนาดนี้ไม่ได้ ฉัน..

ฉันลืมไปว่าคนที่ยืนอยู่หน้าฉันมาตลอดคือเธอ
ฉันลืมไปว่าคนที่ดูทางให้มาตลอดคือเธอ
ฉันคือคนที่ยืนอยู่ข้างหลัง

ค่อยๆแสดงตัวเองชัดเจนขึ้น คอยคิดกังวลเรื่องไม่เป็นเรื่องให้เธอปวดหัว


ถึงแม้ว่าเธอจะจริงจังเกินเหตุ
เธอโกรธและหงุดหงิดจนทำให้คนรอบตัวไม่สบายใจ

ฉันก็ไม่สบายใจ
จนผลักเธอออกไปอย่างช้าๆ


..
ด้วยความกลัว



คนรอบตัวฉันเข้าใกล้ฉันมากขึ้นนะ แต่ไม่รู้ว่าพวกเขาจะชอบเหมือนตอนที่มีเธออยู่หรือเปล่า
แต่ฉันพยายามที่จะทำทุกอย่างให้ได้ดี เหมือนเธอ - ดีกว่าเธอ

มันผ่านมาจะปีหนึ่งแล้ว ฉันยังทำได้ไม่ถึงครึ่งของเธอเลย

เมื่อไม่กี่วันก่อนฉันท้อใจจนอยากจะร้องไห้ออกมา
อยู่ๆฉันก็รู้สึกถึงมือที่แตะไหล่

อยู่ๆเธอก็อยู่ตรงนั้น
ฉันรู้ว่าเธอจะไม่มาปลอบฉัน เธอยิ้ม แต่เธอโกรธ

เธออาจจะโกรธแทนฉันที่อ่อนแอเกินกว่าจะโกรธใครได้
เธอคว้ามือฉัน ไปทำสิ่งที่ฉันควรทำอีกครั้ง

นานมากแล้วที่ฉันไม่ได้รู้สึกปลอดภัยข้างหลังความเกรี้ยวกราดของเธอ
แปลกอยู่เหมือนกัน



แต่แล้วเธอก็หันมา

เธอบอกว่านี่เป็นครั้งสุดท้ายแล้ว

ฉันอยากจะกำมือเธอให้แน่นขึ้น แต่ฉันไม่มีแรงเลย
ฉันเป็นแค่คนอ่อนแอ เธอรู้ใช่มั้ย
ฉันเป็นแค่คนที่ร้องไห้น้ำตานองหน้า แต่เธอก็ผลักฉันมาข้างหลัง เพื่อที่ฉันจะได้หลบ
ฉันเป็นแค่คนคิดมากที่ตัดสินใจอะไรไม่ได้ เสนอตัวเลือกให้เธอตัดสินใจ
ฉันเป็นแค่คนที่ต้องการการสนใจ ต้องการการถูกคาดหวัง จากเธอนั่นแหล่ะ


เธอยิ้ม จริงๆ
เป็นรอยยิ้มที่ฉันไม่แน่ใจว่าจะยิ้มแบบนั้นได้มั้ย

แม้ว่าเราจะคล้ายกันเหลือเกิน

เธอไม่ได้พูดอะไร เธอไม่กอดฉัน ไม่ตบบ่า เธอยังคงเป็นเธออยู่เสมอ


เธอที่ฉันกลัว
เธอที่ฉันเชื่อใจ



เธอหันหลัง

ก้าวไปสามสี่ก้าว
เธอหันกลับมา ขยับปากเป็นประโยคสั้นๆ


แล้วเธอก็ไม่หันกลับมาอีก




..
..
ฉันนึกได้ในเวลาต่อมา เธอพูดว่า



"ฉันก็คือเธอนั่นแหล่ะ"






ฉันรู้สึกเหมือนจุก อึดอัด เพราะฉันเกิดความคิดสวนขึ้นมาทันที



"แล้วฉันคือใคร"

วันเสาร์ที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2558

ปั่นให้ไกล ไปให้ถึง

อยากจะลองเล่าประสบการณ์การปั่นจักรยานสักหน่อย

อยู่ๆตอนประมาณสามทุ่มก็มีพี่คนนึงที่รู้จักจากชมรมทักมาว่ามันจะมีงานปั่นจักรยานนะ สนใจมั้ย ปกติเราก็สนใจทุกงานเลยนะ เพียงแต่ว่าเรายังไม่เคยไปเลยสักงาน ทั้งข้ออ้างงานยุ่ง ทั้งที่มันชนกับงานคณะบลาๆ

เดิมทีแผนคือนอนอืดยาวอยู่หอ

เรานิ่งหมุนโทรศัพท์ชั่งใจอยู่พักใหญ่ๆกว่าจะโทรไปหาพี่คนที่จะขี่ด้วยเพื่อคอนเฟิร์ม
- มันไปเริ่มที่ไหนนะพี่
- ไนท์ซาฟารีน่ะ (เหมือนจะฟังผิด)
- ห้ะ ทำไมไปเริ่มไกลจัง (ฟังผิด)
- มันไม่ไกลหรอก เทียบกับที่เราเคยไปสะพานเนาวรัฐน่ะ
- อ้อ เหรอคะ โอเคๆ (ทำใจดีสู้เสือ)
- ตีห้าครึ่งนะ หอชาย 7
-/นึกในใจ หาเรื่องแล้วไง ไม่ได้ตื่นเช้ามานานขนาดไหนแล้ววว

สุดท้ายเราก็นอนตอนเที่ยงคืน แล้วก็สามารถตื่นไป(แบบเลทนิดหน่อย) ได้อย่างน่าอัศจรรย์ใจ บรรยากาศเช้าของที่นี่ หนาว ! หนาวจนไม่อยากเชื่อว่าเข้าหน้าร้อนแล้ว คาดว่าคงเป็นเพราะฝนในช่วงสองสามวันนี้ อากาศเลยดีมากๆ นอกจากจะหนาวแล้วเส้นทางในมอยังมืดเกือยสนิท จนกลัวจะขี่ตกคูข้างๆไปเหมือนกัน

ปลายนิ้วเริ่มชานิดๆ คงเพราะมันหนาวไป ที่แย่คือเริ่มเมื่อยแล้ว เพราะสองวันก่อนก็ไปเที่ยวรอบคูเมืองมา น่าจะปั่นยาวอยู่ อีกวันก็ไปเมญ่า สรุปคือไม่ได้พักขาเลยสองวัน เห้ย ปวกเปียกอย่างเราจะรอดเหรอวะ

รอจนพี่กับเพื่อนเขามากันครบ พวกเราก็ทะลุซอยทางด้านหน้ามอออกไป ! แล้วเราก็เลยค้นพบว่า คลองชลออกมาเจอจากทางนั้นได้ด้วย ! หลังจากเคยขี่อ้อมมาสองสามหน พอถึงจุดเริ่มจริงๆคือใกล้สนามกีฬา 700 ปี (หลังจากเข้าใจผิดมาทั้งคืน) พอถึงงานเราก็เจอเรื่องแปลกใจอีก

คนเยอะมาก !!

คนที่มาแบบชุดจัดเต็ม จริงจังมาเยอะมาก ส่วนใหญ่เป็นก๊วนลุงๆด้วย สักประมาณห้าสิบมั้ง มาจากต่างจังหวัดอย่าง ลำพูน ก็มี โห  สิ่งที่เราทำคือมองคน มองเสื้อพวกเขาอย่างสนุกสนาน (เพราะเสื้อมักจะเขียนว่าเป็นชมรมอะไรมาจากไหน) แต่ก็ยังหลากหลาย มีคุณพ่อขี่จักรยานแล้วเอาลูกซ้อนไปด้วยก็มี มีคนแต่งชุดสไปเดอร์แมนมาก็มี เด็กที่สูงเท่าเอวเราแล้วมาขี่ก็มี !

อันที่จริงชอบมีคนบอก(และเราก็คิด) ว่าจักรยานอ่ะ มันเป็นแฟชั่นช่วงนี้หรือเปล่า ที่ทุกคนเพิ่งจะมาฮิตๆ เดี๋ยวก็ซา  เปล่าเลย  นี่มันของจริง เป็นกีฬาจริงอีกชนิดหนึ่งเลยล่ะ


ที่น่าเสียใจคืออดเสื้อฟรี(ฮา) ได้มาแต่ธง ผ้าปิดปาก แล้วก็ปาท่องโก๋ร้อนๆ


เรายืนหายใจทิ้งกันอยู่พักใหญ่ๆ จนกระทั่งเสียงรบกวนโสตประสาทของพิธีกรคนนั้นจะเงียบไป...


ก็ถึงเวลาออกเดินทางแล้ว !



ขี่จักรยานเป็นเรื่องที่ ถ้าคนขี่เป็นก็คงไม่ต้องบรรยายอะไรมาก สองขาถีบไป มือจับแฮนด์ให้กำลังพอดีๆ อาเราบอกให้เอานิ้วชี้กับนิ้วกลางคาไว้ที่เบรกเผื่อฉุกเฉิน เบาะก็ปรับให้มันพอดีเวลาเหยียดขาสุดแล้วขาจะตึง ความรู้ใหม่จากงานนี้คือ ปรับเกียร์หนักๆไว้แล้วมันจะไปไวขึ้น ! ไอ้เราก็เล่นอยู่แค่สามสี่ห้ามานาน ดังนั้นความท้าทายรอบนี้(ที่เราคิดให้ตัวเอง) คือปั่นเกียร์หกไปให้ถึงจุดหมาย

ความเจ๋งของงานประเภทนี้คือ ถนนเป็นของเรา ซึ่งปกติแล้วถนนจะไม่มีวันเป็นของเรา ถ้าเทียบยานพาหนะเป็นชนชั้น จักรยานก็เหมือนจัณฑาล (ในแง่การโดนให้เกียรติ) ของท้องถนน  เราปั่นผ่านไปประมาณสี่แยก ทุกแยกต้องหยุดให้เราผ่านหมดเลย (รู้สึกมีอำนาจ 5555) แถมมีเพื่อนร่วมทาง เราจะพยายามรักษาสปีดตัวเองไว้ แซงเค้าบ้าง ให้เค้าแซงบ้าง และเราก็ไม่เหงาเท่าไหร่ด้วย

ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะมีเพื่อนร่วมทางหรือเปล่า ทำให้เส้นทางเหมือนจะสั้นลง เพราะเราจดจ่อกับจักรยานคนนั้น ที่เท่ๆ มีธงหลายๆประเภทติดหลัง จักรยานมอซอของลุงคนนึง ที่ปั่นด้วยสปีดพอๆกับจักรยานมีเกียร์ของคนอื่นๆ เราบอกพี่ที่ไปด้วยกันว่า มันเหมือนมาพิพิธภัณฑ์จักรยานเลย กระทั่งจักรยานคู่ก็ยังมีผ่านตาให้เห็นเลย


หลังผ่านเวลามาพักนึง เราก็ถึงจุดหมาย คือเชียงใหม่ไนท์ซาฟารี
มันไม่น่าตื่นตาตื่นใจเท่าไหร่หรอก เพราะเราเคยมาแล้ว เราเฉยๆซะด้วยซ้ำ
แต่พี่ที่ชวนเราก็ถามว่า "เป็นไง ทำได้แล้วนะ ไม่เหนื่อยใช่มั้ย"

มันทำให้เราฉุกคิดได้ ว่าก่อนหน้านี้เราให้ระดับความยากของมันไว้ขนาดไหน
เราเคยคิดว่าตัวเองคงมาไม่ถึงหรอก แต่เราก็มาถึง อย่างที่ไม่ได้เหนื่อยมากขนาดนั้น


แบบนี้มันคงเรียกว่าความภูมิใจได้ละมั้ง

หลังจากที่เราไม่ได้ปล่อยให้/ทำอะไรดีๆให้ตัวเองภูมิใจมานาน เราก็เพิ่งนึกได้ ว่าสิ่งนี้นั่นเอง ที่ช่วงนี้ชีวิตเราทำมันหายไป การเรียนเราก็แย่ วาดรูปเราก็ไม่ได้ทำ บางทีที่เราดูหนังฟังเพลง มันคงต่างกับการลงมือทำอะไรสักอย่างตรงนี้ละมั้ง สองอย่างนั้นทำให้เรารู้สึกดีก็จริง แต่ไม่ได้รู้สึกเพราะเราเป็นคนลงมือเอง

มันไม่ใช่ความภูมิใจ 100% หรอก มันปนไปด้วยความสะใจในตัวเอง แบบเราก็ทำเองได้นะ ผสมกับความดีใจ ความดีใจเพียวๆที่เด็กสักคนจะรู้สึกเวลาทำอะไรสำเร็จ โดยไม่ได้มีใครชมเชย

บางทีการขาดเรื่องพวกนี้ไปเลยทำให้ชีวิตหลงทางไปบ้าง
เหมือนเราลืมไปว่าอะไรเคยค้ำจุนเราให้เป็นเรา

เราไม่ได้กลายเป็นคนอื่น แค่ไม่ใช่เราไปบ้างเท่านั้น


แต่ว่าทางที่เหนื่อยจริงๆไม่ใช่ขาไป
ขากลับต่างหาก !

พี่ๆพาเราลัดเข้าหลังงพืชสวนโลก ทะลุสวน พื้นที่ชุมชน ไปสู่เขตแม่เหียะ(อีกส่วนนึงของมช.)
ซึงประกอบไปด้วย ดินลูกรัง ทางขึ้นลงสุดชัน

เอ้ะ เราเคยบอกไปหรือยังนะ ว่าจักรยานเราไม่มีโช๊ค หน้าตาใกล้เคียงกับจักรยานแม่บ้านถึงที่สุด

แล้วนึกภาพจักรยานแบบนั้นลุยทางวิบากนะ
สะบักสะบอมไม่น่าดูเลยล่ะ แต่อย่างน้อยๆ อย่างน้อยๆ เราก็ไม่ได้ล้ม หรือไม่ได้เดินลงแล้วเข็นแหล่ะ


หลังจากผ่านทางลัดทะลุอันน่ามหัศจรรย์ ก็พบว่า
ลัดกลับไปหอได้ด้วยล่ะ !
ซอยด้านหลังนี่มันมหัศจรรย์จริงๆ...



เป็นการผจญภัยเล็กๆที่สนุกไม่เลวเลย

ข้อดีคือสนุกและเหนื่อย
ข้อเสียน่ะเหรอ เย็นวันนั้นที่พี่สายเลี้ยงข้าว เราก็หลับคาโต๊ะเลยจ้า TwT





ขอบคุณที่อ่านนะ
เจอกันเอนทรี่หน้า