วันพุธที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2558

คุณมันก็แค่ไอ้ระยำที่แยกความฝันกับความจริงไม่ออกเท่านั้นเอง

คุณมันก็แค่ไอ้ระยำที่แยกความฝันกับความจริงไม่ออกเท่านั้นเอง
- The otherness

เวลาที่หลุดมาอยู่ตรงกลางมันเป็นเรื่องลำบากเสมอ
ตรงกลางระหว่างตั้งใจกับไม่ตั้งใจ
ขยันกับไม่ขยัน
หลับกับตื่น
รวมถึง
ชอบหรือไม่ชอบ

 - ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ที่ความรู้สึกรุนแรงนั้นหายไป ไม่ว่าจะด้วยเวลา หรือระยะทาง หรือการตระหนักรู้

 - ทุกๆเสี้ยว 3 วินาที 5000 เซลล์ของเราจะแตกดับลง หรือระหว่างทางการแตกดับนั้น มันได้นำพาความรู้สึกบางอย่างดับลงไไปด้วย

 - ไม่อาจแน่ใจได้เลยว่าทุกๆครั้งที่พบเธอแล้วมุมปากมันกระตุกขึ้นอย่างเสียไม่ได้นี่เกิดจากการได้เจอ "เธอ" "ตัวตนของเธอ" "องค์ประกอบความเป็น" บางส่วน หรือทุกอย่างกันแน่

 - อันที่จริงฉันเองก็ได้จมลงสู่ทะเลอันกว้างใหญ่นั่นเมื่อห้าปีที่แล้ว อันที่จริงตอนนี้ฉันก็เป็นเศษซากที่ถูกนำมาแปะติดกันอย่างลวกๆ เพื่อให้ดำรงอยู่ได้ซึ่งตัวตนของตัวเองเท่านั้น

 - เป็นครั้งแรกหรือเปล่านะ ที่เห็นรอยยิ้มของใครสักคนแล้วต้องหลบ เพียงเพราะหากเพ่งมองต่อไป ตัวตนอาจจะถูกความรู้สึกบางอย่างสั่นคลอนได้

 - น่าแปลกที่ไม่เคยมีผีเสื้อผ่านเข้ามาในชีวิตแบบนั้น หรือมันอาจถูกเปรียบเปรยด้วยอย่างอื่น

 - สภาวะทางสังคมทำให้ความรู้สึกถูกบิดเบือน ด้วยคำว่า เหมาะสม ถูกต้อง ความเคยชิน การยอมรับ คุณค่า จนการสัมผัสถึงความรู้สึกจริงๆกลายเป็นเรื่องยากขึ้นทุกที บางทีความรู้สึกทั้งหมดอาจจะไม่ใช่ความรู้สึก หากแต่เป็นการกบฏทางความคิดจนหล่อหลอมให้เกิดความรู้สึกขึ้นมาก็เป็นได้

 - วันนึงที่เราสามารถแยกความฝันกับความจริงออกอย่างชัดเจน วันนั้นแหล่ะ คือวันที่ตัวตนของเราได้ตายไปครึ่งหนึ่งแล้ว


เรายังมีชีวิตอยู่หรือเปล่านะ ?


แรงบันดาลใจบทความ จากหนังสือเล่มข้างต้น

วันพฤหัสบดีที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2558

เธอ


ฉันกลัวเธอ


ฉันควรจะเริ่มอธิบายยังไงกันนะ
เอาตอนที่เราเจอกันครั้งแรกแล้วกัน

...

ฉันจำไม่ได้ชัดเจนเท่าไหร่ แต่วันนั้นที่ฉันก้าวเข้าไปในห้องสี่เหลี่ยมผืนผ้า
เธอคงส่งมือมาให้ฉัน ไม่ได้พูดอะไร
แต่มือของเธอนั้นบอกฉันว่า ไม่ต้องกลัวนะ เราจะไปด้วยกัน

เธอเป็นคนสอนง่ายที่หัวรั้น
ถ้าเธอได้เชื่ออะไรสักอย่างแล้วมันยากมากที่จะเถียงเธอชนะ
แม้ว่ามันจะไม่ค่อยมีเหตุลเท่าไหร่เมื่อมองกลับไป

เธอชอบการชนะ
ไม่ได้หมายความว่าเธออยากจะเป็นที่หนึ่ง เธอไม่สนใจเรื่องพวกนั้นหรอก
เธอแค่ชอบที่จะอยู่ข้างที่"ถูก" ชอบที่จะอยู่ในระดับ"ต้นๆ"
เธอทำทุกอย่างอย่างตั้งใจว่ามันจะออกมา "ดีที่สุด"ของเธอ

เธอไม่ได้สนใจคนอื่นๆ หรือตัวเลข

นั่นเป็นส่วนของเธอที่ฉันชอบ

...

ด้วยความต้องการจะให้สิ่งต่างๆออกมาดี สิ่งที่ตามเธอมาโดยไม่รู้ตัวคือ
"การเป็นผู้นำ"
จากมุมมองของฉัน เธอเป็นผู้นำที่ "ผลลัพธ์ออกมาดี"
การทำงานของเธอใกล้เคียงกับคำว่า "งานเดี่ยว" มากกว่า
ซึ่งนั่นหมายความว่าเธอเป็นผู้นำที่ห่วยแตก

แต่เธอคงเถียงฉันว่า เพราะการตัดสินใจที่เฉียบขาดของเธอ ทำให้หลายๆอย่างผ่านมาได้ดี
ฉันคงได้แต่พยักหน้า แล้วนึกถึงความผิดพลาดของเธอเสียมากกว่า
ไม่รู้ว่าทำไม


ฉันไม่แน่ใจว่าเพราะทั้งหมดนั้น เธอเลยเป็นคน "เครียด" หรือเปล่า
ด้วยความที่เราโตมาพร้อมกัน ฉันเองก็ไม่รู้หรอกว่าทุกครั้งที่เธอขมวดคิ้ว หรือนั่งเงียบๆใช้ความคิด

นั่นคือสิ่งที่ผู้ใหญ่เรียกกันว่าเครียดหรือเปล่า

หลังจากเธอรู้จักคำนี้ เธอก็เหมือนจะเครียดเข้าไปอีก รอยยิ้มของเธอกลับจางลง หาเจอยากขึ้น

ฉันไม่เข้าใจเธอเลย

---

ฉันเป็นคนเงียบมากตอนที่เจอเธอครั้งแรก
ฉันคิดว่าฉันคงจะกลัวทุกอย่างรอบตัวมาก แต่มันคงอยู่ลึกเกินไป
ไม่มีใครเห็นว่าฉันกลัว แต่เธอคงเห็น

ไม่อย่างนั้นเราคงไม่ได้จับมือกันวันนั้น


ฉันไม่ค่อยมีความคิดเห็น หรือแรงปรารถนาที่จะทำอะไรเป็นพิเศษ

พอเรียงประโยคเป็น ฉันเลือกจะตั้งคำถามว่าเรามีชีวิตอยู่ทำไม เพื่ออะไร
และพบว่ามีแต่ความเงียบที่สะท้อนกลับมา

ต่างกับเธอ ที่มีคำตอบมากมาย เธอเป็นคนจริงจังที่มีความฝันหลายอย่าง

คิดว่าเป็นเพราะเธอ ตอนนั้นฉันจึงได้รับอิทธิพลมาพอสมควร

---

เธอเป็นคนโกรธง่าย หายเร็ว
บางอย่างเธอทำไปด้วยอารมณ์ เธอไม่มีความคิดจะปิดบังความรู้สึกเลยแม้แต่น้อย
เหมือนจะประกาศว่าโลกต้องเข้าใจถึงความไม่พอใจของเธอ

แต่เธอรู้ดีว่าโลกไม่ได้หมุนรอบตัวเอง
แม้เธอจะสนใจแค่ ตัวเอง คนที่เธอรัก สิ่งที่เธอชอบ สิ่งที่เธอต้องทำ

ต่างกับฉันที่สนใจไปแทบทุกอย่าง คนที่รัก คนที่เกลียด

แต่ฉันกลับไม่ได้แสดงออกถึงความใส่ใจได้แบบเธอ
นั่นละมั้งคือสิ่งที่ทำให้คนอื่นชอบเธอ

เธออาจจะดูอารมณ์หยาบ แต่เธอกลับละเมียดละไมกับสิ่งเล็กๆน้อยๆอย่างมีความสุข
หลายครั้งฉันก็ยิ้มไปกับเธอ
หลายครั้งที่เธอพลาด เธอเจ็บปวด
ฉันก็ได้แต่ยืนข้างๆเธอ ไม่ได้พูดอะไร

...

หลายเดือนแล้วที่ฉันไม่เจอเธอ
นี่คือรูปแบบการโตเป็นผู้ใหญ่อย่างหนึ่งหรือเปล่า
ที่เราจะต้องสูญเสียบางอย่างไว้ด้านหลัง

อันที่จริง
เราทะเลาะกันครั้งสุดท้ายที่เจอกัน

เธอเป็นเหมือนทุกที
แต่ฉันไม่ใช่

เธอเลือกจะโกรธ และบอกว่าฉันผิดตรงๆ
ฉันเลือกจะไม่ฟัง ส่ายหน้า

ฉันไม่อยากยอมรับว่า ฉันทำมันคนเดียว เพราะเธอไม่เตือนฉันต่างหาก

ฉันไม่แน่ใจว่าเธอพูดอะไร แต่เธอยื่นข้อเสนอให้ฉัน

เธอบอกฉันว่าฉันต้องเลือกแล้ว ถ้าฉันเลือก แล้วทุกอย่างเธอจะทำให้เหมือนเคย
จับมือเธอไว้ เชื่อใจเธอไว้
แต่ฉันต้องตัดสินใจแล้ว

ทางหนึ่งคือเดินไปด้วยกันสักพัก แล้วทิ้งเธอไว้ตรงนั้น แล้วไปต่อคนเดียว
อีกทางหนึ่งคือทางที่เธอจะเดินไปด้วยได้


ฉันจำไม่ได้ว่าน้ำตาฉันมันพร่าหรือเปล่า
ฉันขีดฆ่าทางที่เลือกไปสองสามครั้ง



ฉันยืนอยู่บนทางที่ไม่มีเธอ



ฉันเดินตามเธอไปก็จริง แต่ฉันไม่ได้จับมือเธอแล้ว
พอถึงเส้นชัย เธอหันมายิ้มกับฉันอย่างโล่งใจ
บอกฉันว่าเธอขอพักสักหน่อย ฉันไปก่อนได้เลย เธอจะตามไป

แปลกมั้ยที่ฉันไม่เคยยินดีกับเส้นชัยนี้เลย
ถึงอย่างนั้นฉันก็สนุกกับหนทางหลังจากนั้น


นานกว่าฉันจะรู้ว่าเธอยังไม่ตามมา

ตอนที่ฉันหลงทาง ฉันหมุนตัวสามสี่รอบ ฉันไม่รู้ว่าควรจะทำยังไง
มือฉันสั่น เสียงฉันสั่น ฉันยืนอยู่ต่อหน้าคนจำนวนขนาดนี้ไม่ได้ ฉัน..

ฉันลืมไปว่าคนที่ยืนอยู่หน้าฉันมาตลอดคือเธอ
ฉันลืมไปว่าคนที่ดูทางให้มาตลอดคือเธอ
ฉันคือคนที่ยืนอยู่ข้างหลัง

ค่อยๆแสดงตัวเองชัดเจนขึ้น คอยคิดกังวลเรื่องไม่เป็นเรื่องให้เธอปวดหัว


ถึงแม้ว่าเธอจะจริงจังเกินเหตุ
เธอโกรธและหงุดหงิดจนทำให้คนรอบตัวไม่สบายใจ

ฉันก็ไม่สบายใจ
จนผลักเธอออกไปอย่างช้าๆ


..
ด้วยความกลัว



คนรอบตัวฉันเข้าใกล้ฉันมากขึ้นนะ แต่ไม่รู้ว่าพวกเขาจะชอบเหมือนตอนที่มีเธออยู่หรือเปล่า
แต่ฉันพยายามที่จะทำทุกอย่างให้ได้ดี เหมือนเธอ - ดีกว่าเธอ

มันผ่านมาจะปีหนึ่งแล้ว ฉันยังทำได้ไม่ถึงครึ่งของเธอเลย

เมื่อไม่กี่วันก่อนฉันท้อใจจนอยากจะร้องไห้ออกมา
อยู่ๆฉันก็รู้สึกถึงมือที่แตะไหล่

อยู่ๆเธอก็อยู่ตรงนั้น
ฉันรู้ว่าเธอจะไม่มาปลอบฉัน เธอยิ้ม แต่เธอโกรธ

เธออาจจะโกรธแทนฉันที่อ่อนแอเกินกว่าจะโกรธใครได้
เธอคว้ามือฉัน ไปทำสิ่งที่ฉันควรทำอีกครั้ง

นานมากแล้วที่ฉันไม่ได้รู้สึกปลอดภัยข้างหลังความเกรี้ยวกราดของเธอ
แปลกอยู่เหมือนกัน



แต่แล้วเธอก็หันมา

เธอบอกว่านี่เป็นครั้งสุดท้ายแล้ว

ฉันอยากจะกำมือเธอให้แน่นขึ้น แต่ฉันไม่มีแรงเลย
ฉันเป็นแค่คนอ่อนแอ เธอรู้ใช่มั้ย
ฉันเป็นแค่คนที่ร้องไห้น้ำตานองหน้า แต่เธอก็ผลักฉันมาข้างหลัง เพื่อที่ฉันจะได้หลบ
ฉันเป็นแค่คนคิดมากที่ตัดสินใจอะไรไม่ได้ เสนอตัวเลือกให้เธอตัดสินใจ
ฉันเป็นแค่คนที่ต้องการการสนใจ ต้องการการถูกคาดหวัง จากเธอนั่นแหล่ะ


เธอยิ้ม จริงๆ
เป็นรอยยิ้มที่ฉันไม่แน่ใจว่าจะยิ้มแบบนั้นได้มั้ย

แม้ว่าเราจะคล้ายกันเหลือเกิน

เธอไม่ได้พูดอะไร เธอไม่กอดฉัน ไม่ตบบ่า เธอยังคงเป็นเธออยู่เสมอ


เธอที่ฉันกลัว
เธอที่ฉันเชื่อใจ



เธอหันหลัง

ก้าวไปสามสี่ก้าว
เธอหันกลับมา ขยับปากเป็นประโยคสั้นๆ


แล้วเธอก็ไม่หันกลับมาอีก




..
..
ฉันนึกได้ในเวลาต่อมา เธอพูดว่า



"ฉันก็คือเธอนั่นแหล่ะ"






ฉันรู้สึกเหมือนจุก อึดอัด เพราะฉันเกิดความคิดสวนขึ้นมาทันที



"แล้วฉันคือใคร"

วันเสาร์ที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2558

ปั่นให้ไกล ไปให้ถึง

อยากจะลองเล่าประสบการณ์การปั่นจักรยานสักหน่อย

อยู่ๆตอนประมาณสามทุ่มก็มีพี่คนนึงที่รู้จักจากชมรมทักมาว่ามันจะมีงานปั่นจักรยานนะ สนใจมั้ย ปกติเราก็สนใจทุกงานเลยนะ เพียงแต่ว่าเรายังไม่เคยไปเลยสักงาน ทั้งข้ออ้างงานยุ่ง ทั้งที่มันชนกับงานคณะบลาๆ

เดิมทีแผนคือนอนอืดยาวอยู่หอ

เรานิ่งหมุนโทรศัพท์ชั่งใจอยู่พักใหญ่ๆกว่าจะโทรไปหาพี่คนที่จะขี่ด้วยเพื่อคอนเฟิร์ม
- มันไปเริ่มที่ไหนนะพี่
- ไนท์ซาฟารีน่ะ (เหมือนจะฟังผิด)
- ห้ะ ทำไมไปเริ่มไกลจัง (ฟังผิด)
- มันไม่ไกลหรอก เทียบกับที่เราเคยไปสะพานเนาวรัฐน่ะ
- อ้อ เหรอคะ โอเคๆ (ทำใจดีสู้เสือ)
- ตีห้าครึ่งนะ หอชาย 7
-/นึกในใจ หาเรื่องแล้วไง ไม่ได้ตื่นเช้ามานานขนาดไหนแล้ววว

สุดท้ายเราก็นอนตอนเที่ยงคืน แล้วก็สามารถตื่นไป(แบบเลทนิดหน่อย) ได้อย่างน่าอัศจรรย์ใจ บรรยากาศเช้าของที่นี่ หนาว ! หนาวจนไม่อยากเชื่อว่าเข้าหน้าร้อนแล้ว คาดว่าคงเป็นเพราะฝนในช่วงสองสามวันนี้ อากาศเลยดีมากๆ นอกจากจะหนาวแล้วเส้นทางในมอยังมืดเกือยสนิท จนกลัวจะขี่ตกคูข้างๆไปเหมือนกัน

ปลายนิ้วเริ่มชานิดๆ คงเพราะมันหนาวไป ที่แย่คือเริ่มเมื่อยแล้ว เพราะสองวันก่อนก็ไปเที่ยวรอบคูเมืองมา น่าจะปั่นยาวอยู่ อีกวันก็ไปเมญ่า สรุปคือไม่ได้พักขาเลยสองวัน เห้ย ปวกเปียกอย่างเราจะรอดเหรอวะ

รอจนพี่กับเพื่อนเขามากันครบ พวกเราก็ทะลุซอยทางด้านหน้ามอออกไป ! แล้วเราก็เลยค้นพบว่า คลองชลออกมาเจอจากทางนั้นได้ด้วย ! หลังจากเคยขี่อ้อมมาสองสามหน พอถึงจุดเริ่มจริงๆคือใกล้สนามกีฬา 700 ปี (หลังจากเข้าใจผิดมาทั้งคืน) พอถึงงานเราก็เจอเรื่องแปลกใจอีก

คนเยอะมาก !!

คนที่มาแบบชุดจัดเต็ม จริงจังมาเยอะมาก ส่วนใหญ่เป็นก๊วนลุงๆด้วย สักประมาณห้าสิบมั้ง มาจากต่างจังหวัดอย่าง ลำพูน ก็มี โห  สิ่งที่เราทำคือมองคน มองเสื้อพวกเขาอย่างสนุกสนาน (เพราะเสื้อมักจะเขียนว่าเป็นชมรมอะไรมาจากไหน) แต่ก็ยังหลากหลาย มีคุณพ่อขี่จักรยานแล้วเอาลูกซ้อนไปด้วยก็มี มีคนแต่งชุดสไปเดอร์แมนมาก็มี เด็กที่สูงเท่าเอวเราแล้วมาขี่ก็มี !

อันที่จริงชอบมีคนบอก(และเราก็คิด) ว่าจักรยานอ่ะ มันเป็นแฟชั่นช่วงนี้หรือเปล่า ที่ทุกคนเพิ่งจะมาฮิตๆ เดี๋ยวก็ซา  เปล่าเลย  นี่มันของจริง เป็นกีฬาจริงอีกชนิดหนึ่งเลยล่ะ


ที่น่าเสียใจคืออดเสื้อฟรี(ฮา) ได้มาแต่ธง ผ้าปิดปาก แล้วก็ปาท่องโก๋ร้อนๆ


เรายืนหายใจทิ้งกันอยู่พักใหญ่ๆ จนกระทั่งเสียงรบกวนโสตประสาทของพิธีกรคนนั้นจะเงียบไป...


ก็ถึงเวลาออกเดินทางแล้ว !



ขี่จักรยานเป็นเรื่องที่ ถ้าคนขี่เป็นก็คงไม่ต้องบรรยายอะไรมาก สองขาถีบไป มือจับแฮนด์ให้กำลังพอดีๆ อาเราบอกให้เอานิ้วชี้กับนิ้วกลางคาไว้ที่เบรกเผื่อฉุกเฉิน เบาะก็ปรับให้มันพอดีเวลาเหยียดขาสุดแล้วขาจะตึง ความรู้ใหม่จากงานนี้คือ ปรับเกียร์หนักๆไว้แล้วมันจะไปไวขึ้น ! ไอ้เราก็เล่นอยู่แค่สามสี่ห้ามานาน ดังนั้นความท้าทายรอบนี้(ที่เราคิดให้ตัวเอง) คือปั่นเกียร์หกไปให้ถึงจุดหมาย

ความเจ๋งของงานประเภทนี้คือ ถนนเป็นของเรา ซึ่งปกติแล้วถนนจะไม่มีวันเป็นของเรา ถ้าเทียบยานพาหนะเป็นชนชั้น จักรยานก็เหมือนจัณฑาล (ในแง่การโดนให้เกียรติ) ของท้องถนน  เราปั่นผ่านไปประมาณสี่แยก ทุกแยกต้องหยุดให้เราผ่านหมดเลย (รู้สึกมีอำนาจ 5555) แถมมีเพื่อนร่วมทาง เราจะพยายามรักษาสปีดตัวเองไว้ แซงเค้าบ้าง ให้เค้าแซงบ้าง และเราก็ไม่เหงาเท่าไหร่ด้วย

ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะมีเพื่อนร่วมทางหรือเปล่า ทำให้เส้นทางเหมือนจะสั้นลง เพราะเราจดจ่อกับจักรยานคนนั้น ที่เท่ๆ มีธงหลายๆประเภทติดหลัง จักรยานมอซอของลุงคนนึง ที่ปั่นด้วยสปีดพอๆกับจักรยานมีเกียร์ของคนอื่นๆ เราบอกพี่ที่ไปด้วยกันว่า มันเหมือนมาพิพิธภัณฑ์จักรยานเลย กระทั่งจักรยานคู่ก็ยังมีผ่านตาให้เห็นเลย


หลังผ่านเวลามาพักนึง เราก็ถึงจุดหมาย คือเชียงใหม่ไนท์ซาฟารี
มันไม่น่าตื่นตาตื่นใจเท่าไหร่หรอก เพราะเราเคยมาแล้ว เราเฉยๆซะด้วยซ้ำ
แต่พี่ที่ชวนเราก็ถามว่า "เป็นไง ทำได้แล้วนะ ไม่เหนื่อยใช่มั้ย"

มันทำให้เราฉุกคิดได้ ว่าก่อนหน้านี้เราให้ระดับความยากของมันไว้ขนาดไหน
เราเคยคิดว่าตัวเองคงมาไม่ถึงหรอก แต่เราก็มาถึง อย่างที่ไม่ได้เหนื่อยมากขนาดนั้น


แบบนี้มันคงเรียกว่าความภูมิใจได้ละมั้ง

หลังจากที่เราไม่ได้ปล่อยให้/ทำอะไรดีๆให้ตัวเองภูมิใจมานาน เราก็เพิ่งนึกได้ ว่าสิ่งนี้นั่นเอง ที่ช่วงนี้ชีวิตเราทำมันหายไป การเรียนเราก็แย่ วาดรูปเราก็ไม่ได้ทำ บางทีที่เราดูหนังฟังเพลง มันคงต่างกับการลงมือทำอะไรสักอย่างตรงนี้ละมั้ง สองอย่างนั้นทำให้เรารู้สึกดีก็จริง แต่ไม่ได้รู้สึกเพราะเราเป็นคนลงมือเอง

มันไม่ใช่ความภูมิใจ 100% หรอก มันปนไปด้วยความสะใจในตัวเอง แบบเราก็ทำเองได้นะ ผสมกับความดีใจ ความดีใจเพียวๆที่เด็กสักคนจะรู้สึกเวลาทำอะไรสำเร็จ โดยไม่ได้มีใครชมเชย

บางทีการขาดเรื่องพวกนี้ไปเลยทำให้ชีวิตหลงทางไปบ้าง
เหมือนเราลืมไปว่าอะไรเคยค้ำจุนเราให้เป็นเรา

เราไม่ได้กลายเป็นคนอื่น แค่ไม่ใช่เราไปบ้างเท่านั้น


แต่ว่าทางที่เหนื่อยจริงๆไม่ใช่ขาไป
ขากลับต่างหาก !

พี่ๆพาเราลัดเข้าหลังงพืชสวนโลก ทะลุสวน พื้นที่ชุมชน ไปสู่เขตแม่เหียะ(อีกส่วนนึงของมช.)
ซึงประกอบไปด้วย ดินลูกรัง ทางขึ้นลงสุดชัน

เอ้ะ เราเคยบอกไปหรือยังนะ ว่าจักรยานเราไม่มีโช๊ค หน้าตาใกล้เคียงกับจักรยานแม่บ้านถึงที่สุด

แล้วนึกภาพจักรยานแบบนั้นลุยทางวิบากนะ
สะบักสะบอมไม่น่าดูเลยล่ะ แต่อย่างน้อยๆ อย่างน้อยๆ เราก็ไม่ได้ล้ม หรือไม่ได้เดินลงแล้วเข็นแหล่ะ


หลังจากผ่านทางลัดทะลุอันน่ามหัศจรรย์ ก็พบว่า
ลัดกลับไปหอได้ด้วยล่ะ !
ซอยด้านหลังนี่มันมหัศจรรย์จริงๆ...



เป็นการผจญภัยเล็กๆที่สนุกไม่เลวเลย

ข้อดีคือสนุกและเหนื่อย
ข้อเสียน่ะเหรอ เย็นวันนั้นที่พี่สายเลี้ยงข้าว เราก็หลับคาโต๊ะเลยจ้า TwT





ขอบคุณที่อ่านนะ
เจอกันเอนทรี่หน้า



วันศุกร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

เพราะเราก็เปลี่ยน


เขียนบล็อกบ่นเรื่องตัวเองอีกแล้ว
ระหว่างที่นั่งเคี้ยวโยเกิร์ตโกโก้กล้วย(ไม่แนะนำ)ที่ซื้อมาจากหลังมอ ก็นั่งถึง

"ความเปลี่ยนแปลง"

เห็นเพื่อนพูดถึงความเปลี่ยนแปลงในแนวคิดตัวเอง ชีวิตหลังขึ้นมหาลัยกัน
เพิ่งนึกได้ว่าตัวเองก็เปลี่ยนไปไม่ใช่น้อย ไม่แน่ใจว่าดีขึ้นหรือแย่ลงนะ

สมมุติฐาน : เปลี่ยนเพราะ อยู่คนเดียว / อยู่เชียงใหม่ / อยู่ไกลบ้าน
ตัวแปรต้น : เราเอง
ตัวแปรควบคุม : ไม่มีอ่ะ การกลับบ้านน้อยๆ ?
ตัวแปรตาม : เปลี่ยน

(มั่วจัง เป็นเด็กวิทย์ได้ไงหว่าเรา)


1.กินเปลี่ยน
นิยามคำว่ากินข้าวนอกบ้านกว้างขึ้นอย่างชัดเจน ไม่ได้กระแดะหรืออะไรนะ แต่เดิมแล้วโอกาสการกินอาหารริมถนนเกือบเท่ากับ 0 (เว้นตอนไปกินเยาวราช) ส่วนใหญ่เรากินอาหารที่บ้าน ไม่ก็เข้าห้างไปเลย มาที่นี่พบว่าพอเริ่มกินร้านหลังมอได้ ก็ไล่กินไปเรื่อยๆ เริ่มไม่สนใจสุขอนามัยเท่าไหร่ เอาคอนเซปต์"กินแล้วไม่ท้องเสียก็พอ"มาใช้รัวๆ ซึ่งบางทีก็รู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไหร่เวลาได้เห็นหลังร้านที่สะอาดบ้างไม่สะอาดบ้าง อย่างอื่นก็ ได้ลองกินดึก ไฝ้วนอนดึกเผื่อกินดึก ตอนตีหนึ่งแบบนั้น

2.น้ำหนักเปลี่ยน
สืบเนื่องจากข้อที่แล้ว น้ำหนักขึ้น...ไม่มากเท่าไหร่ เมื่อเทียบกับพุงที่ออกมาอย่างจริงจัง เราพบว่าอ้วนง่าย (ลงยาก..) เราไม่ได้โทษอาหารนะ โทษตัวเอง 555 ปกติอยู่บ้านจะกินข้าวกล้องหรือข้าวที่ยังไม่ได้ขัดขาว มันทำให้อิ่มง่ายกว่าเยอะเลย ร้านอาหารริมถนนมีแต่ข้าวขาวกับข้าวหัก ที่กินด้วยสปีดอย่างเราแล้วมันรู้สึกไม่เคยอิ่มในจานเดียว

3.ติดของหวาน
เดิมก็กินของหวานนะ แต่ไม่ได้กินวันละเกือบทุกมื้อขนาดนี้ เหตุผลเดิม ไม่อิ่ม นั่นแหล่ะ

4.พบว่าตัวเองยังมีชีวิตอยู่ได้ !
เคยคิดว่าคนที่ทำงานบ้านไม่เป็นสักอย่าง ขี้เกียจกวาดห้อง กับข้าวก็ทำไม่เป็น จะไปอยู่ได้ยังไง บอกตัวเองตอนนั้นไว้เลยว่า อยู่ได้ว้อย ซักผ้าเอง ล้างห้องน้ำเอง เก็บกวาดเอง

5.ป่วยเพราะตัวเอง
กินนมในตู้เย็นที่บูดแล้ว / เปิดหน้าต่างนอนหน้าหนาวเลยป่วย / ล้มสะดุดตัวเอง / แสบกระเพาะเพราะลืมกินข้าว --- พบว่าหลายๆเรื่องโง่ๆเนี่ย มาเกิดตอนนี้ เพราะตัวเองล้วนๆเลย...

6.ความรับผิดชอบ/สามัญสำนึกด้านการเรียนต่ำลง
ยกให้งานบ้าน การนอน เป็น first priority ไปแล้ว เรื่องเรียนอ่ะเอาเถอะ (แย่แล้ว...)

7.มองเรื่องเพศกว้างขึ้น
หรือจะว่าชินดีล่ะ ที่นี่มีเพศเยอะมาก เจอเยอะด้วย แต่ก่อนเราหัวโบราณไม่ยอมรับเท่าไหร่ แต่พอมีเพื่อนแบบนี้ เจอคนแบบนี้ ก็รู้สึกเป็นเรื่องธรรมดามาก การไปดูถูกเป็นเรื่องที่ไม่โอเคสำหรับเราแล้ว

8.อ่านรีวิวเยอะขึ้น
ปกติเรานึกจะกินก็กิน จะไปเที่ยวก็ตามพ่อแม่ ไม่เคยคิดอะไรเอง หรือวางแผนเอง แต่มาอยู่นี่แล้วคิดจะไปไหน ก็เริ่มจากการอ่านรีวิวก่อนตลอดเลย - ถึงช่วงหลังๆจะรำคาญแล้วดูแค่สถานที่แล้วไปเลยก็เถอะ

9.ติดsnsมากขึ้น
น่าจะเป็นเพราะว่าอยู่คนเดียวแล้วรู้สึกขาดการติดต่อสื่อสาร ถึงจะคุยกับเพื่อนที่นี่เยอะแล้วก็เถอะ ก็ยังคุยแชทกับคนอื่นมาก มาก จริงๆ

10.ถ่ายรูปเยอะขึ้นมาก
เหมือนเที่ยวอยู่(หลังเริ่มลดแล้ว) / ท้องฟ้าที่นี่สวยบ่อย / ติดกาารมองหามุมกล้อง / เหมือนยาเสพติดที่เสพแทนวาดรูป

11.วาดรูปน้อยลง
อันนี้เพราะขี้เกียจส่วนตัว ไอเดียตันส่วนตัว ไม่โทษบรรยากาศ

12.อารมณ์เสียน้อยลง
ว่ากันตรงๆก็เพราะไม่มีเหตุบางอย่างจากที่มีปกติตอนอยู่บ้านนั่นแหล่ะ อารมณ์นิ่งขึ้นเยอะ หงุดหงิดน้อยลงมาก อดทนมากขึ้น ยกเว้นช่วงเวลาหนึ่งในเดือน ก็เหวี่ยงเหมือนเดิม

13.ทำตามใจตัวเองมากขึ้น
นึกจะกินก็เดินไปกิน นึกจะไปเที่ยวก็ขี่จักรยานออกไปเลย นึกจะนอนก็นอน จะโดดก็โดด จะใส่เสื้อแปลกๆเดินห้องก็ทำ จะซื้อต้นไม้ก็ซื้อ จะโยนอะไรเกลื่อนกลาดในห้องก็ทำ เพราะมันไม่มีโปรเซสการขออนุญาตมาเกี่ยวแล้วล่ะมั้ง แต่เราก็ไม่ได้ทำอะไรสุดโต่งขนาดนั้น(มั้ง)

14.ค่าโทรศัพท์พุ่ง
เพราะใช้โทรศัพท์ในการโทรเรียกเพื่อน ตั้งแต่ไร้สาระจนมีสาระ โทรกลับบ้าน ตั้งแต่เกิดมาค่าโทรศัพท์เพิ่งเคยเกินเดือนสามร้อยนี่แหล่ะ

15.มองสิ่งรอบตัวมากขึ้น
มองหมา มองแมว มองป้าย เริ่มมองหน้าคนบ้าง เดิมทีใช้ความเคยชินในการเดินเกินไป ไม่ค่อยมองอะไรนอกจากพื้น จริงๆนะ

16.เลิกดูทีวี
อันที่จริงก็มีอยู่ที่หอนะ แต่เปิดน้อยประมาณเทอมละสามครั้ง มันมีซีรียส์หนุกๆ ข่าวbbcให้ฝึกฟังนะ แต่รู้สึกว่ามันเปลืองไฟ บวกกับเป็นความใฝ่ฝันบางอย่างที่จะไม่เปิดทีวีมั้ง(บ้าบอจริงๆ)

17.แฟชั่นคืออะไรไม่รู้จัก
เดิมทีการแต่งตัวก็ตามใจตัวเองอยู่แล้ว แต่สวัสดีที่นี่เชียงใหม่ ซึ่งเพื่อนๆใส่กางเกงวอร์มโรงเรียนเดินห้างแม้จะเป็นวันหยุด โอกาสดีๆแบบนี้มีหรือที่คนอย่างเราจะพลาด เลิกใส่กางเกงยีนส์ไปพักใหญ่ เสื้อเชิ้ตยังไม่เคยหยิบออกมา ...จนตอนนี้ต้องเอามาใส่บ้าง เพราะมันชักจะคับ... -- คนที่แต่งตัวก็มีไม่น้อยนะ แต่ก็ช่างเค้า 55555

18.เลิกstereotypeคนอื่นไปเยอะ
บอกไม่ได้ว่าเดิมเป็นคนตัดสินคนอื่นจากนิยามเขาไม่กี่ประโยคขนาดไหน เพราะเพิ่งรู้ตัวตอนที่คิดได้ว่า เอ้อ จริงๆก็ไม่ใช่คนแบบนั้นนี่หว่า (ทั้งแง่ดี และไม่ดี) รวมถึงเริ่มเข้าใจคนที่มองคนอื่นแบบนั้นด้วย เช่นการอยู่คณะแพทย์แล้วถูกมองแบบนั้น แบบนี้ เราก็เริ่มเข้าใจว่าทำไมเขามองแบบนั้น บางทีก็ยอมรับได้ แม้มันจะไม่จริง เรารู้ว่าบางคนถ้าไม่เจอความจริง คนอื่นจะบอกอีกกี่คนก็ไม่มีวันเชื่อหรอก

ตอนนี้มีประมาณนี้ ถ้ามันเปลี่ยนไปอีกก็คงเพิ่มอีก 20.02.15


วันอาทิตย์ที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

ความหมาย

เคยนั่งคิดว่าชีวิตกลัวอะไรบ้าง

การที่วันนึงจะไม่มีครอบครัว

การที่อยู่ๆแขนจะขาด

การที่จะถูกใครบางคนเกลียด

การที่จะทำฝันไม่เป็นจริงไปตลอดกาล

ไม่ใช่ความกลัวของเราหรอก


ความกลัวของเราคือการที่วันหนึ่ง เราจะหมดกำลังใจในการดำเนินชีวิตไปดื้อๆ
ไม่ใช่ว่าภาพฝันไม่ชัดเจน แต่อยู่ๆมันก็ไม่มีค่า

ภาพวาดที่เคยทำให้รู้สึกตื่นเต้น และใจเต้นแรงเวลาเห็น
หนังสือเท็กซ์หนาๆที่ทำให้อยากเปิดอ่าน ความรู้ที่อยากจะรู้ให้ดียิ่งขึ้นไปอีก

มันไม่ได้มีความหมายอะไรเลย กับชีวิต



แล้วอะไรที่มีความหมาย

กระทั่งยอดไลค์ที่จะทำให้รู้สึกดีใจขึ้นมานิดหน่อย
ก็ยิ่งถูกทำให้ชัดว่ามันไร้ค่ากว่าความฝันทั้งหมดนั่นหลายเท่า


ตอนเจ็ดขวบ เคยพยายามเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับชีวิต

<ชีวิต>

มันถูกทิ้งไว้แค่หัวข้อเท่านั้น หลังจากนั่งๆนอนๆคิดอีกชั่วโมงนึง เด็กคนนั้นก็ตัดสินใจว่าตัวเองรู้อะไรๆน้อยเกินกว่าจะนิยามคำๆนี้ ยังไม่พร้อม

เอาจริงๆก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะพร้อม ทันทีที่คิดจะเขียนก็รู้สึกว่าไม่พร้อม
ไม่เคยกล้าเขียนเรียงความหรืออะไรด้วยหัวข้อนี้

รู้สึกไม่มีสิทธิ์
รู้สึกว่าจะผ่านอะไรมาไม่มากพอ
รู้สึกว่าชีวิตไม่เคยเจอเรื่องที่แย่พอ
รู้สึกว่าชีวิตไม่เคยเรื่องที่ดีขนาดนั้น

รู้สึกยัง "ไม่เข้าใจชีวิต"

อ้าว แล้วที่กำลังหายใจอยู่นี่คืออะไร ทั้งๆที่เป็น "สิ่งมีชีวิต" แท้ๆ
กลับไม่ได้เข้าใจความหมายของตัวเองเลยเหรอ


เดิมทีเราเฝ้าแต่ตั้งคำถาม ว่าเรามีชีวิตไปเพื่ออะไร / เกิดมาทำไม
ตอนที่เปี่ยมไปด้วยพลังคงตอบว่าเพื่อทำความฝันบางอย่าง

ตอนนี้เราถามตัวเองน้อยลง
แต่เราเปลี่ยนมาถามว่า คำว่า "มีชีวิต" มันคืออะไรกันแน่
ที่เราทำอยู่ทุกวันมัน "ใช้ชีวิต" มากพอหรือยัง


คนอื่นอาจจะมีความกระหายอันไม่รู้จบกับวัตถุ องค์ความรู้ ความสุข ตัณหา ฯลฯ
เราพบว่าเรากระหายใน ประสบการณ์
ไม่จำเป็นต้องมีความสุขก็ได้ จะเจ็บใจแค่ไหนก็แล้วแต่
แต่อยากรู้จักมันให้มากกว่านี้อีก
แต่ก็กลัว

ความน่ากลัวคือเราเบื่อประสบการณ์ใหม่ๆที่คล้ายเดิมเร็วเกินไป
เช่น การรู้จักเพื่อนในห้องเรียน ไม่ใช่ว่าสนิทหรืออะไรเลย แต่ไม่อยากรู้จักกันในสถานการณ์แบบนี้
ไม่อยากอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมกว้างๆที่แห้งแล้งนี้


เราอยากมาเชียงใหม่ เพราะเราอยากได้ชีวิตแบบใหม่ๆ
ขนาดยังปรับตัวไม่ได้ดีเท่าไหร่ก็เริ่มรู้สึกว่ามันเฉื่อยอีกแล้ว

แต่เราก็ยังชอบนะ บางทีการคิดถึงบ้านแล้วเปรียบเทียบกับตัวเองตอนนี้ก็ช่วยเหมือนกัน
เพราะเราได้ทำอะไรใหม่ๆหลายๆอย่าง ที่มั่นใจว่าอยู่บ้านมันจะไม่เกิดขึ้น
อยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีแต่คนเคยรู้จักมันจะไม่เกิดขึ้น


การออกเดินทางไม่ใช่ความหมายชีวิตเราตอนนี้
หรือก็ยังเป็นไม่ได้


การเป็นนักวาดการ์ตูนก็ไม่ใช่ความหมายของชีวิต
มันเป็นส่วนนึงของชีวิต เป็นเรื่องราวอย่างนึงที่อยากใส่เข้ามาในชีวิต

การเป็นหมอก็ไม่ใช่ความหมายชีวิต
แต่เป็นสิ่งที่เราหวังว่ามันจะให้คำตอบเกี่ยวกับชีวิตได้มากขึ้น บางทีการเป็นครูแนะแนวหรือที่ปรึกษาทางจิตวิทยาก็อาจจะช่วยให้หาคำตอบได้เหมือนกัน แต่ใครจะเจอชีวิตเยอะเท่าหมออีกเล่า


เราคิดว่าการได้ไปที่ใหม่ๆ คุยกับคนเยอะๆ เรียนรู้วัฒนธรรมเยอะๆ คือชีวิต
แต่เราคิดผิด มันคือชีวิต"แบบหนึ่ง" ซึ่งเราถูกปลูกฝังโดยสื่อบางอย่าง



ชีวิตที่เราใช้อยู่มันก็คือชีวิตแหล่ะ ชีวิตแบบนึง

การมีชีวิตอยู่เพื่อใครสักคนก็ไม่ใช่ แต่ใครสักคนที่เรามีเป็นสาเหตุที่ทำให้เรามีชีวิตอยู่ได้
ถ้าขาดไปก็ไม่ได้ตายไปพร้อมกัน แต่แค่ยังนึกภาพชีวิตแบบนั้นไม่ออก


เรายังไม่รู้ว่าชีวิตคืออะไร เรารู้แค่ว่าความหมายมันประกอบไปด้วยหลายอย่างมากๆ
มากมายจนรวมกันเป็นคำๆเดียว




เพราะสิ่งที่เรารู้ตอนนี้คือ ต่อให้เราสูญเสียแรงบันดาล ความหวัง ความฝันทั้งหมดไป เราก็ยังหายใจ ยังกิน ยังคิด ยังมี"ชีวิต"อยู่


ถึงคนอื่นจะชอบว่ามันไม่ต่างอะไรกับการไม่มีชีวิตก็ตาม

วันอาทิตย์ที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

รัก ไม่รัก


เดือนนี้เป็นเดือนแห่งความรัก
ตามนิยามแบบที่เราเข้าใจตามตะวันตก (แต่อาจจะเป็นแค่ในประเทศเรา ?)

แต่ว่า
มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตประเภทที่
ไม่มีฤดูผสมพันธุ์

จริงๆนะ

ถึงอย่างนั้นเดือนนี้ทุกอย่างก็ดูจะเกี่ยวข้องกับความรักไปหมด
สเตตัสในเฟสเพื่อน
ทวิตต่างๆ
โฆษณา
หนังรัก



ทุกอย่างเทมาประดุจว่ามันเป็นเรื่องใหญ่โตที่จำเป็นต่อชีวิต

ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรบนโลก
ที่คนมาตัดพ้อเรื่องความรักหรือเปิดตัวเรื่องความรักมากขึ้น

ที่แน่ๆคือของคนรอบตัวมีผลกับเราถึงมาพิมพ์นี่


ใช่ ความรักเป็นเรื่องจำเป็นต่อชีวิต เพียงแค่ไม่ใช่ในแง่ความสัมพันธ์ในแง่
นั้น
ป่ะ ?



สิ่งมีชีวิตเกือบทุกอย่างอยู่ได้ด้วยความรัก

ถ้าขาดความรักมันก็ตาย

แบบหมาเลี้ยงที่ต้องการเจ้าของให้นัวเนีย
แบบแมวที่ถึงจะหยิ่งขนาดไหนก็ยังมีช่วงเวลาที่เข้ามาออดอ้อน

ไม่แน่ใจว่าต้นไม้ต้องการความรักจากดวงอาทิตย์หรือเปล่า
หรือว่าแค่ได้รับแสงอยู่ทุกวันก็พอแล้ว

แค่รู้ว่ารักอยู่ห่างๆก็พอแล้ว



บางทีความรักก็ไม่ได้ตรงไปตรงมาขนาดนั้น
รักแบบที่ต้องการอยู่ด้วยกันให้ได้มากที่สุด
รักแบบที่อยากให้มีความความสุขที่สุด
รักแบบที่อยากเป็นต้นเหตุของความสุขของคนๆนั้น
รักแบบที่รู้ว่าสบายดีก็พอแ
รักแบบที่รู้ว่ารักกันก็พอ
รักก้อนเมฆ รักท้องฟ้า ต้องการเพียงแค่ได้มองก็พอ
ถึงจะเหมือนคนบ้าที่ชอบทักว่าท้องฟ้าสวยได้แทบทุกวัน

ก็แค่รักละมั้ง



เดือนนี้ไม่ใช่เดือนแห่งความรักหรอก

มันคือเดือนกุมภาพันธ์ต่างหากเล่า
ไม่สิ
มันเป็นแค่อีกช่วงเวลาที่โลกยังคงหมุนรอบตัวเอง
และรอบดวงอาทิตย์เท่านั้นแหล่ะ





รักเสมอ
,ไม่ว่าเดือนอะไร






วันพุธที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2558

2 เดือนที่ยาวนาน



Based on true story



"สวัสดีค่ะ คุณตา วันนี้พวกเราเอาของขวัญปีใหม่มาให้นะคะ"


เสียงเพื่อนคนนึงของเราที่สดใส พูดกับชายสูงวัย ที่มีปัญหาทางร่างกายที่ทำให้ต้องนอนอย่างเดียว หรือที่เรียกกันว่า "ผู้ป่วยติดเตียง"

คุณตาพยักหน้าเล็กน้อย แล้วกล่าวขอบคุณ


"มาจากไหนกันน่ะลูก"


เสียงคุณตาเบาและแหบพร่าจนแทบไม่ได้ยิน แต่ก็มีเพื่อนของเราคนนึงจับใจความได้แล้วตอบไป


"มีใครเป็นคนที่นี่บ้าง แต่ก่อนผมน่ะเป็นอธิการนะ โรงเรียนที่นี่แหล่ะ"

เพื่อนบางคนอุทานด้วยความประหลาดใจ เพราะตัวเองก็มาจากโรงเรียนนั้น ไม่คิดว่าบุคคลนี้ยังมีชีวิตอยู่ หรือ ...ไม่คิดว่าจะมาอยู่ตรงนี้


"เด๋ยวนี้โรงเรียนเป็นยังไงบ้างแล้วล่ะ"

เพื่อนก็ตอบเรื่องต่างๆไปเท่าที่จะนึกออก บทสนทนาดำเนินไปอย่างตะกุกตะกักเล็กน้อย และเบา เพราะทั้งห้องผู้ป่วยที่เหลือนั้นเงียบสนิท จนแทบไม่อยากเชื่อว่ามีคนอีกเกือบสิบชีวิตนอนอยู่ร่วมห้องกัน



บรรยากาศในห้องเป็นห้องสีขาว ที่ผ่านการ "พยายาม" ตกแต่งอย่างมาก มีทั้งสีเพ้นท์ที่ดูสดใส ลวดลายเหมือนอยู่ในโรงเรียนอนุบาล ดอกไม้ปลอมที่ประดับตามกรงของผู้ป่วยสมองเสื่อมกันไม่ให้เดินหายไป




ว่ากันตามตรง
เป็นห้องที่ดูแลแสงไฟริบหรี่ ที่เรียกว่าชีวิต
ครอบแก้วไว้อย่างดีให้ไฟไม่หนีไป เจาะรูให้มีออกซิเจนเข้า เพื่อที่ไฟจะได้ไม่มอด
แต่...นี่ไม่ใช่เรื่องของเราที่จะแสดงความเห็นว่าควรทำอย่างไรกับไฟเหล่านี้

อดีตอธิการยังคงคุยกับเพื่อนเราไปเรื่อยๆ

"ผมเข้ามาอยู่ในนี้สองเดือนแล้วล่ะ เดี๋ยวอีกไม่นานลูกคงมารับแล้ว"

รอยยิ้มจางๆของเขาเกิดขึ้นบทใบหน้าที่ซีดเซียวและยับย่นนั้น เราไม่ทันดูว่าเพื่อยคนอื่นแสดงสีหน้าอย่างไร แต่เราก็อดยิ้มออกมาไม่ได้ ไม่ว่าใครคงจะอยากกลับไปอยู่กับครอบครัวอยู่แล้ว แทนที่จะอยู่ในที่ๆที่มีคนดูแลแต่เงียบเหงาขนาดนี้


หลังจากนั้นไม่นานเราก็เดินออกจากอาคาร พวกเราทันสวนกับเจ้าหน้าที่ที่ดูแลพอดี เพื่อนเลยถามถึงอดีตอธิการคนนั้น เหมือนว่าไม่อยากเชื่อ เจ้าหน้าที่ยืนยันว่าเป็นเรื่องจริง เขานี่แหล่ะ ญาติๆเขาก็เป็นคนบริจาคเงินสร้างอาคารนี้ด้วย...



.
.
.
เพียงแต่ว่าเขาอยู่ที่นี่มา 5 ปีแล้ว





เหมือนว่าความทรงจำจะหยุดไปแล้ว และความจริงก็คือไม่เคยมีใครมาเยี่ยมเขาเลยตลอดเวลาที่ผ่านมา


พวกเรานิ่งเงียบไป นานอยู่

เราเกิดโพล่งออกไปว่า ก็ดีแล้วมั้ง จะได้รู้สึกเหมือนอยู่ไม่นานไง
เพื่อนๆหันมามองแล้วยิ้มเฝื่อนๆแบบไม่รู้จะตอบว่าอะไร



...ก็ดีแล้ว ล่ะมั้ง ?




แต่ทำไมมัน

รู้สึกเศร้าขนาดนี้นะ...




วันอังคารที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2558

วันที่ฝันฟี้บลง




เคยได้ยินมั้ย ว่าความฝันเหมือนลูกโป่ง

หรือเรานี่แหล่ะ คิดว่าความฝันเหมือนลูกโป่ง (ที่อัดฮีเลียมด้วยนะ จะได้ลอยๆ)

  
     คุณสมบัติของความฝัน คือ เหมือนจะไม่จริง แต่ก็เป็นจริงได้ เวลาสัมผัสอาจจะไม่หนักแน่นเหมือนถือลูกบาส ไม่แข็งมั่นคงเหมือนลูกเบสบอล บีบแรงๆก็พร้อมจะแตกแล้ว และกลายเป็นเพียง "เศษซากความฝัน" ได้ทุกเมื่อ เมื่อมาดูถึงองค์ประกอบ ความฝันนั้นได้อัดแน่นด้วย"อะไรบางอย่าง" จนโป่งพองเป็นรูปเป็นร่าง เห็นชัด ไม่ว่าจะแค่ในมโนภาพของเรา หรือชัดเจนจนคนอื่นก็มองเห็น


     เราเป็นคนประหลาด 
ที่ชีวิตต้องถือลูกโป่งแบบนั้นในมือสักใบ สองใบ ..บางทีก็ห้าหกใบ เสมอ สำหรับเราแล้ว การปล่อยให้มือว่างๆ มันเหมือนกับการใช้เวลาไปอย่างเปล่าประโยชน์ถึงที่สุด ถือจะไม่ได้ทำอะไรกับลูกโป่งในมือก็ตาม แต่การมีมันถือเป็นอะไรที่เราจะต้องมีไว้ให้อุ่นใจ ไว้เป็นแรงบันดาลใจ ไว้มองแล้วยิ้ม บางทีก็ถือไว้เป็นสีสัน แล้วก้าวต่อไป
     
...ดังนั้นแล้วเราจึงนึกภาพชีวิตที่ไม่มีลูกโป่งไม่ออก

อันที่จริงแล้วเรานึกออกนะ 

แค่ไม่รู้ว่าชีวิตที่ไม่มีลูกโป่ง


 เราจะเดินต่อไปเพื่ออะไรอีก ?




ช่วงสองสามเดือนที่ผ่านมา เราได้ไปทำกิจกรรมเอนเตอร์เทนผู้สูงอายุที่บ้านพักคนชรา
(ภาษาเหนือเรียกคนแก่ว่า อุ้ย - ออกเสียงว่า อุ๊ย)

เราเคยวาดภาพไว้ว่า ถ้าไม่ใช่ที่ๆมีอุ๊ยคุยกันอย่างออกรส
มันก็เป็นสถานที่ที่เศร้าอย่างที่สุด

       แต่ว่าเราคิดผิด เพราะที่ๆเราไป ไม่มีทั้งสองอย่าง ไม่ได้มีใครสนิทสนมพูดคุย ไม่ได้มีใครเศร้าสร้อยกับชีวิตอย่างออกนอกหน้า เราไม่รู้ว่าจะอธิบายยังไงดี เพราะอุ้ยแต่ละคนก็มีพื้นที่ส่วนตัว บางคนนั่งฟังวิทยุ บางคนกวาดพื้นบ้าน บางคนดูทีวี ที่เห็นแล้วเป็นภาพที่ติดตาเรามากที่สุดคือ นั่งอยู่กับความเงียบ มองอากาศตรงหน้าอย่างตั้งใจ แบบที่ไม่คิดว่าเราจะยอมปล่อยให้ตัวเองนั่งนิ่งเฉยๆขนาดนั้นได้ (ถ้าไม่ได้ใช้ความคิดอยู่)


      เราขอขนานนามบรรยากาศแบบนี้ว่า บรรยากาศไร้ลูกโป่ง

        มันไม่ใช่บรรยากาศที่เศร้า หรือขาดความสุขไปขนาดนั้น
        
        มันแค่...นิ่ง
      
                เหมือนเราแค่หยุดเดิน แล้ว ปล่อย หรือ แขวน ลูกโป่งไว้สักที่หนึ่ง..



จากนั้นก็ไม่ได้คิดจะพูดถึงมันอีก  

แต่อาจจะคิดถึงมันอยู่ก็ได้ เราก็ไม่ได้ถามหรอก


                อุ้ยคนนึงเคยทำงานอยู่ที่ขนส่ง ชีวิตที่ผ่านมามีแต่การทำงาน คิดถึงแต่ความวุ่นวายของระบบงาน ช่วยเหลือคนดีบ้าง ไม่ดีบ้าง ทำหน้าที่เหมือนเป็นคนมองชีวิตคนอื่นมาโดยตลอด  แม้กระทั่งตอนนี้ ก็ยังคอยดูแลคนอื่น ดูว่าใครเป็นยังไง  สาเหตุที่อุ้ยมาอยู่ที่นี่เพราะ อุ้ยไม่มีครอบครัว มีแต่งาน รู้ตัวอีกทีที่พักที่ทำงานก็ไม่มีแล้ว เลยถูกส่งมาอยู่ที่นี่  ไม่รู้ว่าอุ้ยคนนี้เคยมีลูกโป่งมั้ย หรือว่าไม่คิดจะสนใจลูกโป่งแต่แรกก็ไม่รู้

              บางคนในนี้เป็นครูที่มีความรู้พูดได้หลายภาษา บางคนเป็นหมอนวดที่เก่งมาก บางคนเคยเป็นช่างแต่งหน้า ที่ตอนนี้แต่งได้แต่แก้มที่แดงเกินไปจนรู้สึกแปลกกับใบหน้าของเขา


               ยิ่งรับรู้เรื่องราวในนี้ เหมือนยิ่งเห็นอนาคตบุคลากรที่มีความสามารถต่างๆ ที่เจอจุดเปลี่ยนบ้าง เป็นโรคบ้าง จุดไม่เปลี่ยนบ้าง ที่มาตามระบบ ...ทำให้รู้ว่าบางทีคนในนี้ไม่ใช่คนที่ ถูกคนอื่นทอดทิ้ง หรอก ในแง่ที่ว่า ถ้าเราอยู่ตัวคนเดียวมาตั้งแต่แรกแล้ว จะไปถูกใครทิ้งได้ล่ะ เรากลับรู้สึกเฝื่อนๆ ที่แอบคิดในใจว่าบางคนในนี้คือคนที่ ทอดทิ้งตัวเอง ต่างหาก  ทำไมน่ะเหรอ ทั้งที่ยังเดินได้ หายใจได้ มีเรี่ยวแรงบ้าง อาจจะไม่มาก พร้อมกับเวลาว่างที่มากมายขนาดนี้ จะนั่งปล่อยให้ห้วงเวลาไหลผ่านตัวเราไปทำไม แทนที่จะเลือกคว้าลูกโป่งลูกใหม่ๆมาเป็นสีสันให้ชีวิต ....นี่เป็นความคิดในตอนแรกของเรา



                  เห็นด้วยกับเรามั้ย ?



                  เราคิดแบบนี้ จนวันสุดท้ายที่ทำกิจกรรม เราเจออุ้ยคนนึง กำลังดีดซึงอยู่ด้านหลังหออย่างคล่องแคล่ว แว่บแรกเราคิดว่าเขาคงจะเล่นเป็นก่อนมาอยู่ในสถานที่แห่งนี้ แต่หลังจากเขาไปขอให้เขาเล่นให้ฟังสักเพลง เขาก็เล่าให้ฟังว่า มาเริ่มเล่นในนี้ เล่นเป็นอยู่สองสามเพลงแล้ว  ถ้าได้ฟังก็บอกเลยว่าเพราะดี เป็นคนแรกที่เราพบว่าทำกิจกรรมใหม่ๆหลังเข้ามาอยู่ในนี้

                  อันที่จริงบางคนที่เคยคุยด้วยก็ไม่ได้ถูกใครทอดทิ้ง เพียงแต่ว่าเป็นโรคที่ต้องการคนดูแลตลอดเวลา เผื่อมีเรื่องร้ายแรงเกิดขึ้น บางคนก็เข้าไปอยู่เพื่อรอวันที่ลูกจะพร้อมมารับกลับไป


                 ไม่ควรจะเห็นด้วยหรอก (จริงๆนะ)


                เราผู้ซึ่งเพิ่งมา เห็นแค่ภาพของพวกเขาที่ไม่ได้ถือลูกโป่งอีกต่อไปแล้ว แต่อันที่จริง ชีวิตพวกเขาอาจจะผ่านลูกโป่งมาอันแล้ว อันเล่า ลูกโป่งลูกเดิมๆอาจจะถูกสูบมาซ้ำๆ จนเสื่อมและขาดไปแล้วกี่ร้อยรอบก็ไม่รู้ บางทีมันก็ถึงเวลาจะพักแขน มองลูกโป่งพองๆบางใบที่กลายเป็นจริง  และมองลูกโป่งบางใบที่กลายเป็นแค่ยางเหี่ยวเฉาระหว่างทางที่เราเดินผ่านมา
             

                 เพราะ งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา
                 ร่างกายเราก็เช่นกัน

                  พอจบงานเลี้ยงไม่ใช่ว่าทุกคนจะตายจากกันไป แต่ละคนแยกย้ายไปมีชีวิตของตัวเอง

    
                  ...เพียงแต่ว่างานนี้ออกไปแล้วกลับเข้ามาไม่ได้
                  ช่วงเวลาที่เหลือนั้น มีเอาไว้ให้นั่งสงบใจ แล้วนึกถึงช่วงเวลาดีๆของงานเลี้ยงนั้น


                   ด้วยข้อจำกัดหลายๆอย่างของร่างกาย ทำให้พวกเขาไม่ได้รับบัตรเชิญไปงานเลี้ยงอีกแล้ว

                   แต่ในความทรงจำ มันยังชัดเจนเสมอ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าแปลกดี
               
                              "อะไรใหม่ๆยายจำไม่ค่อยได้หรอกลูก จำได้แต่เรื่องเก่าๆน่ะ" 
                    
                              ...แล้วยายก็ตั้งท่าจะเล่าชีวิตตัวเองอีกม้วนให้เราฟัง


                    เราไม่รู้หรอกว่าถ้าเรากลับไปครั้งหน้า คุณตาคุณยายที่นั่นจะจำเราได้มั้ย หรือเราก็เป็นแค่ส่วนหนึ่งของความทรงจำระยะสั้น ที่สมองอาวุโสตัดสินใจว่าไม่จำเป็นต้องคงอยู่นานขนาดนั้น ก็ไม่รู้... เราก็ไม่รู้อีกแหล่ะว่า ช่วงเวลาสั้นๆที่ละครมีสาระที่แสดงให้ตายายดูมันสนุกจริงๆมั้ย รอยยิ้มมุมปากที่เผยอน้อยมากจนสังเกตได้ยากเหล่านั้น ได้ทำให้พวกเขาสบายใจขึ้นอีกสักนิดหรือเปล่า

                     เราไม่รู้เลย 
     
                     เรารู้แต่ว่า สำหรับเราแล้วมันเป็นประสบการณ์ครั้งหนึ่งที่มีค่ามากๆ เปิดโลกของเราให้กว้างอีกนิดหน่อย ได้เข้าใจคนอื่นมากขึ้นอีกนิด เข้าใจวันมากขึ้นอีกหน่อย เราพบว่า.
                
       

วันนึงเราจะแก่
วันนึงเราจะไม่เหลือใครเคียงข้าง
วันนึงเราจะหมดพลังในการฝัน
วันนึงเราจะหลงลืมเรื่องที่ผ่านมา
วันนึงเราจะปล่อยโลกหมุนไปโดยไม่ใส่ใจมันอีกต่อไป
วันนึงเราจะพบว่ามันยากเกินจะเข้าใจเรื่องรอบตัวแล้ว
วันนั้นคงจะเศร้าบ้าง


แต่วันนั้นเราจะต้องยังยิ้มได้
เพราะวันนั้นก็ยังเป็นวันนึงของเรา





เพราะกว่าเราจะปล่อยให้ถึงวันนั้น
ความฝันของเราคงจะลอยสดใสอยู่ข้างทาง
มีไว้ให้เรายิ้มเมื่อมองย้อนกลับไป
และเดินต่อไป เพื่อให้มันสุดทาง


วันนั้นจะต้องเป็นแบบนั้นแหล่ะ






หมายเหตุ : เป็นเอนทรี่ที่ดองนานมาก เริ่มเขียนตั้งแต่ยังไม่มีคำตอบให้ตัวเอง จนเจอคำตอบแล้ว และรู้สึกผิดเล็กน้อยที่มองว่าพวกเขาเศร้าขนาดนั้น ที่คิดแบบนั้นคงเป็นเพราะมันก็เป็นแค่ปลายทางที่เรายังไม่อยากให้มาถึง แค่นั้น...














วันจันทร์ที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2558

ปีข้างๆ กับ คนข้างๆ


"จะเริ่มยังไงดี" เป็นช่วงเวลาลังเลที่แอบน่ารำคาญของเราเอง ที่พอรู้ตัวอีกทีก็ "อ้าว ผ่านไปอีกนาทีแล้ว"

เหมือนกับตอนเริ่มต้นปีของเรา ถ้านับจากเที่ยงคืน

"จะเริ่มยังไงดี" พอรู้ตัวอีกทีก็ "อ้าว ปีใหม่แล้ว"
(นึกภาพเรานั่งอยู่บนเตียง ถือมือถือคุยกับเพื่อน อีกมือนึงวาดรูปปีใหม่ มองทีวีรายการเกาหลี แล้วอยู่ๆน้องก็พูดว่า ปีใหม่แล้วนะ)


เริ่มง่ายๆเลยละกัน ช่วงนี้เราตกหลุมรัก



จะว่ายังไงดีล่ะ


...มันเริ่มจากคนข้างๆตอนนั่งรถบัสข้ามคืนที่ญี่ปุ่น หลังจากหลับไปสองสามตื่น พอบ่นเรื่องร้อนก็ยิ้มแล้วควักพัดออกมายื่นให้เฉย (จริงๆอยากขอเปิดแอร์...) ทั้งๆที่พัดดูน่าจะเป็นของที่ระลึกกลับบ้านแท้ๆ อ้อ เธอเป็นฝรั่ง สวมสเว็ตเตอร์มีฮู้ดสีเทา เจ้าเนื้อนิดๆ แล้วพอเราโดนมนุษย์จีนด้านหลังถีบเบาะก็สะดุ้งตื่น ก็เจอเธอนั่งอ่านนิยายในTabletอย่างไม่สนใจ ตอนลงทำให้รู้ว่าเธอมาเที่ยวคนเดียว ไม่แน่ใจว่าตอนเธอเดินไปเธอพูดอะไรหรือเปล่า แต่เหมือนคล้ายๆจะให้เที่ยวให้สนุก

จากนั้นก็คนข้างๆที่นั่งบนเครื่องบิน ที่เป็นชาติอะไรไม่รู้ รู้แต่ผมสีทอง สวมเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อนกับกางเกงขายาวเอวต่ำ สิวที่หน้าทำให้รู้สึกว่าอายุคงไม่ห่างกัน ท่าทางไม่ชอบข้าวเท่าไหร่ เพราะไม่สั่งเลย เธอมากับครอบครัวเหมือนว่าจะกำลังไปกรุงเทพ เธอมีพี่น้องอีกสองคน เหมือนเธอจะเป็นคนกลาง ที่มีหน้าที่(?)ทำหน้าเบื่อโลกขณะที่น้องๆครื้นเครง

คนข้างๆตอนนั่งกลับมาเชียงใหม่ เป็นสาวแว่นหมวยที่มีสีหน้าเรียบเฉยได้อย่างมาก ตกกระหน่อยๆ ไว้ผมยาวหางม้าด้านหลัง เสื้อเชิ้ตตารางทับเสื้อคอกลม ใส่ขาสั้นตามสมัยนิยม ดูมีกลิ่นอายของนักศึกษาอยู่พอสมควรอยากชวนไปแชร์ค่ารถแดงจัง

ลุงป้าคนญี่ปุ่นที่นั่งข้างๆบนรถแดง แปลกที่ลุงสะพายกระเป๋าผู้หญิง ป้าสะพายกระเป๋าเป้เหมือนของผู้ชาย ในมือถือแผนที่เชียงใหม่ที่ปริ๊นท์มาเอง แต่งชุดธรรมดานะ แต่รู้สึกถึงความเป็นญี่ปุ่นเอามากๆเลย อ้อ ที่น่าสงสัยอีกอย่างคือไปลงเซนทรัลกาดสวนแก้วที่อ้างว้าง



...


ใช่แล้ว

เราตกหลุมรักการสังเกตคนนั่งข้างๆล่ะ

อันที่จริงแล้วมันลามไปถึงการอยากชวนคุยด้วยซ้ำ แต่เราไม่กล้าหรอก ถึงจะมีคนรู้จักที่สามารถชวนคนนั่งข้างๆคุยได้อย่างสบายใจก็เถอะ เราก็ยังรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องที่ดูแฟนตาซีมาก เพราะคนรู้จักส่วนใหญ่เรารู้จักกันผ่านงานเขียนของเขานี่นา


อ้าว นึกยังไงอยากชวนแปลกหน้าคุย

คาดว่ามีต้นเหตุมาจากการเริ่มต้นอ่านหนังสือหลายแนวมากขึ้นในปีที่แล้ว

สำหรับเรา คนก็คล้ายๆหนังสือ ปกสวยบ้าง ปกไม่สวยบ้าง ปกยับเยินยู่ยี่บ้าง แต่เนื้อหาข้างในมันมีอยู่เยอะประหนึ่งเขียนด้วยอังสณา14 บางคนก็สัก 12 แล้วบางทีก็ลืมเว้นวรรค เขียนเต็มทุกบรรทัด เรารู้ว่ามันไม่ใช่หนังสือที่สนุกทุกเล่ม แต่มันมีความแตกต่างที่ทำให้รู้สึก "น่าอ่าน" ทุกเล่ม

การนั่งข้างๆก็เหมือนนั่งมองหนังสือเล่มหนึ่งอยู่พักใหญ่ๆ แอบพิจารณาเพราะหนังสืออาจจะด่าได้ถ้ารู้ว่าแอบมองเขา (//-//) เรารู้รอยยับ รู้มุมปกที่เผยอเล็กน้อย



แต่เราไม่มีสิทธิ์เปิด



เราจะได้อ่านเนื้อหาก็ต่อเมื่อหนังสืออนุญาตเรา เมื่อได้ "คุย" กัน หนังสือจะยอมเปิดตัวเองออก อาจจะมีลบลิขวิคไปเอง ข้ามบางหน้าไปบ้าง บางหน้าก็ถูกทากาวประกบกันสนิทไปแล้ว อย่างไรก็ตาม เราจะได้รับรู้เรื่องราวที่แตกต่างออกไป คิดแค่นั้นก็รู้สึกใจเต้นแรงอย่างบอกไม่ถูก



แต่ก็อย่างที่บอกไปแล้วคือไม่เคยและไม่กล้า


เพราะ เรากลัว

กลัวว่าเขาจะไม่ตอบ กลัวว่าเขาจะไม่สบายใจที่เราถาม กลัว กลัว กลัว  กลัว    กลัว

เหมือนที่ไม่กล้าจ่ายเงินซื้อหนังสือเพราะกลัวไม่สนุก กลัวเนื้อหา กลัวปก
แล้วโลกนี้ก็ไม่ได้น่ารักเสมอด้วยสิ ถ้าจะให้ไล่เรียงความกลัวล่ะก็ มีมากจนเป็นเหตุที่จะไม่ออกจากบ้านได้เลย




ถ้ามาพูดถึงเพื่อนทั่วไปที่ไม่ใช่คนแปลกหน้า
ตลกดีที่บางคนจบมอหกแล้วเราเพิ่งรู้สึกว่าเขาน่าสนใจ น่าคุยด้วย
ทั้งที่ตอนอยู่ในโรงเรียนไม่ได้รู้สึกอะไรเลย

มันเป็นเหมือนปรากฏการณ์เห็นปกเดิมบ่อยๆเวลาเข้าร้านหนังสือ(ส่วนใหญ่คือการ์ตูน)
บ่อยมากๆเราก็ชักจะหลอนว่าเปิดอ่านแล้ว ทั้งที่บางที่ยังเปิดไม่ถึงสามหน้าเลยด้วยซ้ำ..


แต่สิ่งที่เราทำให้ปีที่ผ่านมาคือเปิดใจจะทำความรู้จักกับหลายๆปก บางคำนำ
ยังไม่เก่งพอจะรู้จักเนื้อหาให้มากขึ้น บางจังหวะก็รู้สึกเสียดายจนวันสุดท้ายของปี




และนั่นเป็นเรื่องของปีข้างๆที่ถูกเขียนไปแล้ว



...หนังสือเล่มที่เรากำลังเห็นอยู่ทุกวันเป็นหนังสือที่พิมพ์ด้วยหมึกอย่างดี กระดาษล้ำสมัย
ไม่ว่าอะไรก็ลบไม่ได้ เผาไม่ได้ ทิ้งไม่ได้

หรือพยายามจะเอาสีอื่นทาทับมันก็...ได้นะแต่ตัวอักษรจริงๆก็เรียงรายอยู่บนกระดาษนั้นไม่หายไปไหนอยู่ดี


ก็ไอเดียการใช้ชีวิตทั่วๆไปนั่นแหล่ะ คืออดีตมันลบแก้ไม่ได้
หนังสือเล่มนี้ก็ถูกเขียนไปเรื่อยๆตลอดเวลาทุกวัน ทุกวินาที


รอตอนที่หมดเล่มจะมาบรรจบอีกครั้ง
ก็แล้วแต่ว่าเราจะปล่อยให้มันถูกเขียนไปยังไง จะคุณค่ากับมันแบบไหน



ก็เท่านั้นเอง
...













คิดว่าจบแล้วละสิ แต่อยากคุยกับตัวเองไว้หน่อย

- ลองอะไรใหม่ๆต่อจากปีที่แล้ว
    /จักรยานเกิน 10 km /เที่ยวคนเดียว /ทำงาน /ตื่นเช้า /ทำอาหาร

- ตั้งเป้าเรื่องวาดรูปให้ชัดเจน และทำได้จริง เรื่องสั้นต้องได้เรื่องนึง ไม่งั้นก็เลิกวาดไปเถอะ

- เขียนบันทึกค่ายอย่างจริงจัง / หาค่ายเข้าอีก มันคุ้มเวลานะ เราว่า

- ลดการใช้สายตาโดยไม่จำเป็น อันนี้ต้องเริ่มจริงจังหลังสายตาสั้นพุ่งผสมเอียง

- มีภาษาที่สามที่จะสื่อสาร(พูด หรือ เขียน)ให้ได้ ให้เลือก [Fr/Ch/JP]

- คุยกับคนให้หลากหลายมากขึ้น

- มีความสุขกับชีวิตหลักสิบปีสุดท้าย ตัวเลขถึงจะไร้ความหมาย แต่ก็แสดงถึงความเป็นผู้มากขึ้นทุกวัน กับเรื่องที่เรากำลังจะเจอในอนาคต มันจะใหญ่กว่านี้ สำคัญกว่านี้ เพราะอะไรก็รู้อยู่ คิดว่าถึงวันนั้น ต้องพัฒนาความเป็นผู้ใหญ่อีกเยอะเลย




ปีที่ผ่านมาเป็นปีที่สุดโต่งมาก
ต้นปีแสนเครียด หกเดือนที่ว่างโล่ง รู้สึกไร้สาระอย่างหนำใจ
การอยู่กับ comfort zone สุดคุ้นเคย ออกไปสู่อะไรๆที่ใหม่เกือบทุกอย่าง
การเป็นลูกมันโคตรสบาย เทียบกับการรับผิดชอบชีวิตตัวเองทุกวันนี้
การเที่ยวโดยแม่เป็นไกด์ กับการเที่ยวเองกับเพื่อนแบบเหนื่อยเอง สนุกเอง เซ็งเอง (ฮา)
การอยู่ในที่ๆมีน้ำ ไฟฟ้าเข้าถึง กับที่ๆไม่มีอะไรเลย และพบว่าอยู่ได้อย่างมีความสุข
ตัดผมสั้นที่สุดในชีวิตแล้ว
ดูหนังบ่อยขึ้นมาก
การอยู่แต่ในบ้าน ไม่ชอบออกจากบ้าน กับการชอบออกไปที่อื่น หลงเอง เหนื่อยเอง
การก้าวผ่านเรื่องๆนึงที่ไม่คิดจะพูด กับการที่สามารถเล่าได้แล้วยิ้มออกมา

มันเป็นปีที่สำคัญ เพราะมีเรื่องที่เกี่ยวกับอนาคตในระยะยาวอยู่ชัด รู้สึกความคิดกว้างขึ้นอีกนิดหน่อย

แม้ว่าทุกปีก็มีความหมาย เพียงแค่ขอจำปีที่แล้วไว้เป็นพิเศษละกันนะ 2557



...ตอนนี้เราเดินมาปีข้างๆ 2558   ( รหัสเราด้วย เย่ )
เราไม่รู้หรอก ตอนนี้ได้แค่แอบมองกระดาษเปล่าๆพวกนั้น

บางทีแค่มองกระดาษเปล่าเนี่ย มันก็ตื่นเต้นแล้วนะ (เป็นคนเดียวใช่มั้ย)
ความรู้สึกตอนเริ่มต้นใหม่เนี่ย มันสนุกเกือบทุกครั้งเลยแหล่ะ






ปีนี้ก็ฝากส่วนหนึ่งของหนังสือของเราไว้ที่นี่อีกปีนะ

สวัสดีปีใหม่ :3