วันอาทิตย์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

ล้มก็ลุกดิ แต่ลุกแล้วไงต่อล่ะ

วันก่อนค่ะ
เราล้มค่ะ
ขี่จักรยานแล้วก็สะดุดอุปสรรคที่เห็นจะๆตรงหน้า

ล้มเลย ตัวลอยนิดหน่อยด้วยมั้ง

ตอนล้มลงไปก็เจ็บนิดหน่อย ตกใจแว่บนึงที่ลุกทันทีไม่ได้เหมือนตอนล้มปกติ (เราล้มบ่อย)
เรารีบลุก มียามแถวนั้นมาช่วยตั้งจักรยาน

แล้วเราก็ยืนกะจะขึ้นจักรยานไปต่อ

พบว่ามือสั่น

ขาสั่น

หัวใจเต้นแรงมากตอนนั้น ร่างกายค่อยๆส่งสัญญาณไปบอกสมองช้าๆ ว่า


กุเจ็บ


จนต้องยืนเฉยๆกับที่

ทำได้แค่ ลุกขึ้น

ยามคนนั้นยืนข้างๆ คงกลัวเราล้มไปอีก ถามว่าเราเจ็บมากมั้ย เป็นอะไรหรือเปล่า สมองเราตอนนั้นตะโกนว่าเจ็บฉิบหาย ที่ปากตอบไปอย่างไม่คิดว่าไม่เป็นไรค่ะ เจ็บนิดหน่อย

โกหกไวมาก แต่ไม่ได้ตั้งใจหรอก
ชั่วพริบตานั้นเราคิดว่าการบอกระดับความเจ็บที่แท้จริงไปมันไม่ได้แก้ไขสถานการณ์อะไรเลย

แม้เราจะไม่มีแรงจะก้าว และได้แต่ยืนสำรวจแผลอยู่ตรงนั้น
เห็นเลือดนิดหน่อยจากแขน มันยังไม่ทันเลือดออกด้วยแหล่ะ เลยทึกทักเอาเองว่าถลอกนิดเดียว
แต่จริงๆมันเจ็บไง เพราะเอาด้านขวาลง รับน้ำหนักตัวเองไปเต็มๆ

คิดอะไรไม่ค่อยออกเลยเอาผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดๆ เศษดินฝังเข้าไปในผิวที่ถูกครูดขึ้นไป ดูแล้วน่ากลัว


ล้มก็ลุก ลุกแล้วก็ต้องเดินต่อไป

เพราะเรามีงานที่ตกปากรับคำไปแล้วว่าจะทำ จึงเร่งเดินทางต่อไป
แต่ก็สัมผัสได้ถึงความเจ็บที่เข่า (ที่ใส่ขายาว)


ขี่จักรยานไปได้ไม่นานก็เลยหยุดจอด หาที่พิจารณาแผลชัดๆอีกที

ตอนนั้นเองที่ได้มองแผลชัดๆ เห็นร่องของผิวที่โดนกรีดลงไปเป็นรอย เลือดสีแดงสดๆซึมๆออกมาที่ขอบ ส่วนที่แขนก็เป็นปื้นแดงๆเหมือนโดนตบ แต่ดูดีๆมันคือรอยเลือดที่ซึมออกมา

เราทำใจเย็น เอาน้ำล้างแผล เช็ดๆ แล้วก็ผูกแผลแค่ช่วงขาที่ดูจะเลือดออกเยอะสุด
เป็นการทำแผลที่น่าเกลียดและไม่ควร เพราะคาแผลไว้กับความสกปรก อนาถมาก

เดินไปสักพักแล้วรู้สึกเหมือนหน้ามืดกับการเห็นแผลตัวเอง
ตลกดี ไม่เคยเป็นมาก่อน


เหมือนเวลาเจอปัญหาที่คิดว่ามันทั่วไปมากๆ
แต่เราเองไม่เคยมาก่อน
เราทำตามคำบอกเล่าวิธีแก้เท่าที่รู้
แต่เราก็พบว่าปัญหานั้นมันแปลกและแรงสำหรับเราไม่ใช่น้อย


ล้มก็ลุก ลุกแล้วก็ต้องเดินต่อไป ได้ไม่นาน 
ถ้าแผลจากการล้มมันลึกมาก
ก็ต้องพักไปเรื่อยๆ

สักพักก็ออกเดินต่อไปเข้างานแสดงโชว์ ชมรม (เราไปนั่งสอนวาดรูป)


นั่งแบบนั้นทำให้ลืมแผลไปเลย เอาแค่เราเจ็บขานิดหน่อยก็พอ
เหมือนลืมสภาพเลือดและอาการหน้ามืดชั่ววูบตอนนั้น


ล้มก็ลุก ลุกแล้วก็ต้องเดินต่อไป ได้ไม่นาน 

เราจะหลอกตัวเองว่ามันไม่เป็นไรก็ได้ แต่จริงๆแผลมันก็ยังอยู่ตอนนั้น.



กว่างานจะจบจริงๆ อีกสองสามชม. กว่าจะถึงหอ มามองแผลชัดๆอีกที

สกปรกมาก และลึกประมาณนึง
ที่ซึ้งกว่าคือ ต้องทำความสะอาด หลักคือต้องทำแผลให้สะอาด
เป็นอะไรที่ลำบากกว่าการขจัดคราบห้องน้ำฝังแน่น

เพราะมันหนึบมาก แถมแค่น้ำโดนมันก็แสบสุดๆ
แสบจนไม่รู้จะทำยังไง
ครั้งล่าสุดที่ล้มเป็นแผลขนาดนี้มันนาานมากแล้ว

ตอนนั้นแม่ก็เป็นเช็ดให้
ตอนนี้เราเอง ต้องบังคับมือสั่นๆของตัวเอง ให้เช็ดลงไป
ทุกอย่าง มันคือเรา
มีตัวเอง ดูแลตัวเอง

ไม่รู้ว่าแสบมาก หรือมันเป็นอารมณ์ที่ต้องการที่พึ่งมาก

เรานั่งสะอื้นอยู่พักหนึ่ง
 สะอื้นเหมือนว่า จะมีใครมาปลอบ ให้หาย
ซึ้งไม่มีใคร


เพิ่งรู้ว่าการเผชิญหน้ากับบาดแผล
มันสร้างความเจ็บ แสบ ได้ขนาดนี้


เราจะทำตัวลืมแผลนั่นไปก็ได้
แต่ไ้ต้ไม่นาน แผลน้นต้องสะอาด

ถึงเราจะต้องแสบขนาดไหน....

เราก็ต้องเผชิญกับมันอยู่ดี


แต่สุดท้าย เราก็ทำความสะอาดได้ไม่หมด
อีกวันก็ไปเข้าคิวใช้สิทธิ์นศ.ทำแผลฟรี


พี่พยาบาลสองคนมารุมเช็ดพร้อมกัน
แสบกว่าที่เช็ดเองสามเท่า


เป็นปัญหาของเรา ที่แก้เองแล้วมันไม่เรียบร้อย
พอคนอื่นมาแก้ให้ มันก็ดีขึ้น
ถึงมันจะเจ็บมากก็ตาม


ในที่สุดมันก็สะอาด เรียบร้อย

ค่อยๆฟื้นตัว ตามแต่ละเช้าที่เราตื่นขึ้นมา



ล้มแล้วมันลุกเลยก็ได้อยู่ แต่ไอ้ครั้นจะให้เดินต่อไปแบบปกติเลยน่ะมันไม่ได้หรอก

มันต้องผ่านอะไรอีกหลายๆอย่าง



อย่างพอมันเหมือนจะหายๆ ก็เริ่มคัน เหมือนว่าปัญหาที่เราสร้างไว้จบ แต่ผลกระทบมันไม่ได้จบไปด้วย
เราไม่ได้ผ่านมันแล้วผ่านเลยไป ถ้าพลาดอะไรไปแล้วจริงๆ มันก็ไม่ได้จบตรงนั้นที่เคลียร์กันรู้เรื่อง


มันยังตามมาคันอีกเป็นระยะๆ



นั่นแหล่ะ เพราะฉะนั้น
ขี่จักรยานคราวหน้าตรงนั้นจะขี่ให้ช้าลง

อื้ม




วันเสาร์ที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

พิเศษ ทำไม งาน สมัคร อะไร

วันนี้นึกไรไม่รู้ตะลุยหางานพิเศษอีกรอบ
คงเกิดจากการถกกับเพื่อนวันก่อน
ไลน์กับเพื่อนอีกวันนึง

เป็นความโชคดีที่แทบไม่เคยเกิดในชีวิต
งานพิเศษเฉพาะวันอาทิตย์

....โคตรดี เราก็ว่างอยู่แค่นั้นด้วย

โทรไปถามเสร็จสรรพ "เข้ามาได้เลยค่ะน้อง มาลองคุยเวลาว่างน้องดู เอกสารไว้ก่อนก็ได้"

.....เป็นประโยคที่ไม่เคยเจอมาก่อนในการหางานที่กรุงเทพฯ

ที่มีแต่

"ทำทุกวันน่ะน้อง ถ้าไม่ไหวก็อย่าเลย"
"เวลาตามนี้นะคะน้อง ได้เลยค่ะ (แล้วก็ไม่ติดด่อมาอีกเลย)"
"คนมันเยอะวันนี้น่ะ ยังไงก็ต้องมา"



งานในฝันชัดๆแบบนี้ !



...ช่วงประมาณห้าโมงเย็น

....ปกติสมัครงานเค้าใส่อะไรไปกันนะ ถ้าไม่เรียบร้อยจะเหมือนคราวก่อนอีกป่ะวะ...
.....เค้าแต่งหน้ากันมั้ยเนี่ย แล้วถ้าแต่งนี่มันจะเยอะไปมั้ย
.....เยอะไปป่าววะ เช็ดออกแม่ม

สุดท้ายก็ขี่จักรยานเหงื่อโทรมไปถึงอยู่ดี
แอบแว่บเข้าห้องน้ำเล็กน้อยดูสภาพตัวเอง

เอาละ !

"สวัสดีค่ะ มาถามเรื่องพาร์ทไทม์"
"อ้อ ปิดรับแล้วค่ะ"


".................คะ ? เอ่อ ที่เพิ่งโทรมาเมื่อกลางวัน"
"ค่ะ พอดีเพิ่งได้น่ะค่ะ"

.
.
.
.
.
...ความคิดที่ว่าการหางานพิเศษทำอยากยาวนานกำลังจะจบลง มันได้ถูกฉีกกระขากออกไป

"..ขอบคุณค่ะ"


สมองเหมือนหยุดทำงาน ความหวังพังทลายเหมือนไปสารภาพรักแล้วโดนปฎิเสธ
โดยเฉพาะเป็นรักที่รอมาอย่างยาวนาน

(โอเวอร์ฉิบ)

อันที่จริงถ้าเราไม่รอแดดร่มแล้วขี่จักรยานออกไปตั้งแต่ตอนนั้นเลยเราก็ได้งานแล้วมั้ยนะ
มันเป็นเพราะเราดันไม่พุ่งเข้าไปหาโอกาสทันทีเองนี่หว่า
เพราะเราปล่อยให้มันหลุดมือไปด้วยความตายใจ และคิดอะไรยิบย่อยเกิน
โอกาสที่หลุดไป ก็เพราะเรานั่นแหล่ะ


เนื่องด้วยสมองพัง จึงขี่จักรยานวกวนไปอย่างไร้จุดหมายในตัวเมือง
จะไปขัวเหล็กก็หาทางที่ถูกไปไม่ได้สักที

ร้านเหล้าร้านแล้วร้านเล่าได้ผ่านสายตาไป
เดี๋ยวก็จอดซดซะเลยนี่ (อายุยังไม่ถึงนะ...)

สมองเริ่มแห้งไปพร้อมๆกับปากที่เริ่มแห้งเพราะหน้าปะทะลม
ทำให้กลายเป็น อดอยากปากแห้ง (ตึ่งโป๊ะ)


สุดท้ายก็กลับถิ่นคุ้นเคย นิมมานเหมินทร์ ไปจบลงที่ร้านน้ำผลไม้ สั่งมะม่วงปั่น (ที่มีส่วนผสมของน้ำเปล่าน้อย) นั่งซดย้อมใจ พร้อมอ่านนิยาย


อร่อยจัง...

เห็นที่หน้าร้านว่ามีแปะรับพนง. part time เราก็เลยนั่งชั่งใจ ปล่อยให้จิตใจที่บอบช้ำจากการปฎิเสธได้ฟื้นตัว(ว้อท) ดูๆ ตัวร้านก็ดูวุ่นวายใช่ย่อย อันที่จริงพนง.แทบไม่ได้คุยกันด้วยซ้ำเพราะตั้งใจทำงานอยู่ มันคงไม่ใช่ร้านง่ายๆชิลล์ๆแบบร้านก่อนหน้าเท่าไหร่ เพราะที่นี่ก็ขายดิบขายดี ทั้งไทยทั้งเทศก็นั่งกิน

นั่งอยู่สักพัก จนตัดสินใจลุกไปถามเงื่อนไขการสมัครงาน

"เอาใบสมัครไปกรอกเลยก็ได้ครับ"

เห้ะ ห้ะ จริงดิ

"นี่ครับ ไปกรอกข้างนอกนะ"

จากสภาพลูกค้านั่งแอร์เย็นในร้าน ก็ถูกเนรเทศออกไปนอกร้านอย่างฉับพลัน !!!


พอกรอกเสร็จ จะไปยื่นให้พนง.ที่เคาทน์เตอร์คนเดิม
เค้าก็บอกให้ไปสัมภาษณ์เลย


เห้ยยยยยยย ยังไม่ได้เตรียมใจเตรียมบท เตรียมอะไรทั้งนั้น
แต่ก็เดินออกไปนอกร้าน ที่อีกโต๊ะนึง มีพี่ผู้ชายนั่งอยู่


"สวัสดีค่ะ"
"สวัสดีครับ ขอดูประวัติหน่อยครับ"

ยื่นใบสมัครไปให้พี่อย่างกล้าๆกลัวๆ เขาเป็นผู้ชายที่ดูเนี๊ยบ สะอาด และท่าทางจะเป็นเมเนเจอร์แน่แท้...


บทสนทนาประมาณ

"น้องอยู่คณะนี้แล้วทำไมอยากทำงานแบบนี้ล่ะ พี่ให้ชม.ละ 30 บาทนะ ไปสอนพิเศษจะรายได้ดีกว่ามั้ย"
(เห้ย 30 เองเหรอคระ ค่าแรงขัั้นต่ำล่ะคระ)
"คือ อยากลองทำงานแบบนี้น่ะค่ะ (หนูชอบทำให้ชีวิตลำบากค่ะ)"

"เรียนก็หนักแล้วนะ งานหนักมากนะ พี่ให้ทำทุกอย่างเลยทั้งปัดกวาดเช็ดถู ทำผลไม้ นู่นนี่"
"ค่ะ"

---แล้วก็ถามรายละเอียดเรื่องอื่นๆ อย่างเกรด บ้านอยู่ไหน พ่อแม่ทำงานอะไร หออยู่ไหน เดินทางยังไง
เรามีข้อดีข้อเสียยังไง รู้รายละเอียดเกี่ยวกับพี่เขานิดหน่อย สาเหตุที่ตั้งร้านคือชอบทำ เพราะเขาจบด้านอื่นมา มีร้านอีกสองที่แถวๆมอเราด้วย บลาๆ


แล้วพี่ก็ย้ำอีกที

"อยากให้เราเอาไปคิดดูก่อน ว่าจะทำงานแบบนี้ไหวมั้ย ทำได้นานแค่ไหน เพราะมันเสียเวลานะ ทั้งเราทั้งพี่ พี่ที่สอนให้เราทำงานเป็น เราก็มาใช้เวลากับการทำงาน

เพราะเวลามันเป็นอะไรที่ใช้เงินกี่ล้านก็ซื้อกลับไปไม่ได้นะ

เราลองเอากลับไปคิดดีๆ"


จู่ๆ สถานการณ์การเข้าไปสมัครงาน ผลลัพท์กลับเป็นว่า "เรา" ต้องเป็นฝ่ายเอาไปพิจารณา
ทั้งที่ปกติ "ร้าน" ต่างหาก ที่ต้องพิจารณาเรา


ทำเอาเราอึ้งไปครู่ใหญ่เลยทีเดียว เหมือนว่าเราคิดแต่ว่าอยากทำๆ แต่จริงๆอาจนึกไม่ถึงว่าเวลาที่จะใช้ไปกับตรงนี้ ก็คือ "เสีย" ไปเหมือนกัน ....แต่เราว่าเราคิดดีแล้วล่ะ เราอยากจะ"ใช้"ช่วงหนึ่งของชีวิต แลกมากับประสบการณ์แบบนี้

...มันคงมีอะไรขาดหายไปบ้างแหล่ะ แต่เราก็ได้แต่หวังว่ามันจะคุ้มค่า



สุดท้ายก็คือจะได้สัมภาษณ์แบบจริงจังตอนเทอมสอง เพราะเทอมนี้เราจะทำงานได้แค่ช่วงสั้นเกินไป

อะไรก็ได้ทั้งนั้นน่ะตอนนี้


ขอโอกาสสักครั้งก็พอ :x
ขอบคุณทั้งสองร้าน ที่สอนอะไรบางอย่างให้กับเรา

วันเสาร์ที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2557

ชีวิตดี

ช่วงนี้ได้ยินคนใช้คำนี้บ่อย


ชีวิตดี

"น่าอิจฉาเนาะ ชีวิตคนนี้ดีจัง ถ้าเป็นแบบนั้นได้ก็คงดี"

..เหรอ ?
(ทำไมเรากวนตีนจังวะ)




 ลองฟังเราหน่อย

ช่วงวันหยุดนี้กำลังสบาย ขี่จักรยานไปเที่ยววัดอุโมงค์มา อากาศเย็นๆกำลังดี
เดินเข้าไปดูร้างๆหน่อย แต่ไม่ผิดหวังเลย มีไก่สวยๆหลายตัว เลยเหมือนคนบ้าซุ่มถ่ายไก่ในพุ่มไม้แถวนั้น


ในซอยก็มีร้านกาแฟที่น่าสนใจ นั่งชิลล์ สโคนทาแยมเสาวรสรสชาติดี หอมกลิ่นเนยจางๆ

ความรู้สึกตอนที่ลมพัดหน้าตอนขี่จักรยานลงเนินมันยังสนุกทุกครั้งจริงๆ
ต้นไม้รายล้อมสองข้างทางทำให้รู้สึกอยู่ใกล้ป่ามากๆ (ซึ่งก็ใกล้จริงๆ)
ผ่านไปเจอเขตอุทยานแห่งชาติด้วยเหมือนว่าจะส่องสัตว์ได้ คราวหน้าจะไปให้เร็วอีกหน่อย เผื่อได้เจอฝูงวัวแดงแบบที่คุณลุงคนนั้นบอกบ้าง...

บอกเลยว่าเป็นคนบ้าที่จักรยานไหลไปข้างหน้าแล้วต้องส่งเสียงอะไรสักอย่าง
ผิวปากดังๆ วี๊ววววววววววววววว

จะว่ายังไงดี มันไม่ใช่ว่าไม่เคยใช้ชีวิตแบบนี้เลยสนุก

มันเหมือนย้อนกลับไปตอนเด็กๆที่เคยได้ใช้ชีวิตแบบนี้

ได้ขี่จักรยานโต้ลม มือที่กำแฮนด์แน่นๆเวลาเข้าโค้ง เสียงแก๊กๆของการเปลี่ยนเกียร์ ปวดตูดหน่อยๆที่นั่งอานนานๆ น่องที่เริ่มเมื่อยและไม่รู้จะเพิ่มขนาดมากมั้ย (ฮ่า) หอบเพราะขี่ขึ้นเนินบ้าง ถีบหนีหมาที่เห่าไล่บ้าง



อันนี้เรียกชีวิตดีได้มั้ย




วันนี้ก็เป็นวันที่ดี หลังจากไปนั่งเล่นกับเด็กในวอร์ดเด็ก
ดูเด็กระบายสีแล้วมันสนุกดีนะ เหมือนเห็นความตั้งใจบางอย่างที่บริสุทธิ์
เพราะน้องเขาไม่ได้อยากได้คำชม (เขาฟังเราไม่ออกด้วยซ้ำ)
ระบายไปก็ไม่มีคะแนนให้
คิดถึงตัวเองตอนเริ่มวาดรูปแรกๆมากเลยจริงๆ
(แต่เอนทรี่นี้ไม่ใช่เรื่องเราวาดรูป ดังนั้นจะไม่เพ้อถึง)

ช่วงบ่ายก็ไปลองลาเต้อาร์ทที่ฮิตมาก คนทะลักร้าน นักท่องเที่ยวเต็มไปหมด
ราคาโหดไป(ไม่)นิด แต่หน้าตาลาเต้กับรสชาติขมๆกลมกล่อมนั้นถือว่าหาไม่ได้จากกาแฟ 35 บาท
..คิดซะว่าเสพงานศิลปะละกัน

ผ่านพ้นถนนและแสงแดดบ่ายสุดร้อนระอุมาถึงหอ
ภูมิใจจะบอกมากว่าหออากาศดี มีต้นไม้และที่นั่งร่มรื่น
(แต่ขี่จักรยานเข้าซอยมาโคตรไกล...)

เอาหนังสือ หิมาลัยต้องใช้หูฟังมาอ่าน พร้อมกับเปิดเพลงจากอัลบั้ม Voice of romance ที่แม่เซฟไฟล์มาให้ สบายหูมากกว่าเพลงในร้านกาแฟเมื่อกี๊อยู่มาก

เอนหลังพิงพนักสบายๆ เสพตัวอักษรและภาพไป

ไปเที่ยวคนเดียวมันมีเสน่ห์หลายอย่างมาก

อ่านแล้วแอบยิ้ม เพราะเจอคนแบบเดียวกันทั้งที่ไม่ได้รู้จักอะไรกันเลย มันเป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆ แต่เวลาอ่านหนังสือ(ไม่ได้อ่านมานานแล้วขอสารภาพ) มันเหมือนได้คุยกับคนเขียน ได้สนิทกันโดยที่ไม่มีเงื่อนไขด้านใดๆ ไม่ว่าอาชีพ หน้าตา อายุ ฯลฯ  นี่ก็เป็นความรู้สึกชวนคิดถึงที่จมอยู่แล้วรู้สึกดี


ข้อดีของอากาศช่วงนี้คือ ไม่ร้อนมาก ถ้าไม่มีแดดก็เรียกว่าเย็นพอได้

เปิดหน้าต่างกับพัดลมก็เพียง สำหรับคนเหงื่อออกโคตรง่าย นึกถึงค่าไฟแล้วก็สบายใจขึ้นหน่อย (ฮา)




วันก่อนโน้นที่กลับหอค่ำๆ
แล้วเพื่อนจะมาหอ เลยจัดแจงเก็บหอ เปิดเพลงช้าๆ (เสพติดพอควรเลย)
ฝึกพับเสื้อยืดแบบเทคนิคญี่ปุ่น (ยังไม่งาม แต่โออยู่)
เก็บข้าวของให้มันสบายตา
กวาดพื้นอยู่สามรอบ ฝุ่นเยอะทุกวัน ไม่รู้มาจากไหนเยอะแยะ
ล้างจานที่ดองไว้
ล้างห้องน้ำ เวลาคราบต่างๆมันละลายลงท่อไปเนี่ย มันรู้สึกดีบอกไม่ถูกเลยนะ

เสร็จก็เดินหมุนไปรอบๆชื่นชมผลงาน
พักผ่อนสักหน่อยโดยการเปิดโซเซียลเน็ตเวิร์ค (เรื่องอันตรายจากความสุขที่ได้ทำงานบ้าน -- นี่ก็ขอละไว้ก่อน)

แต่ถึงจะบ่นโน่นนี่ ทำงานบ้านแล้วมันก็สบายใจอย่างบอกไม่ถูกเหมือนกัน


เพื่อนบอกว่า มีความสุขง่ายๆแบบนี้ก็ดีแล้วไม่ใช่หรือไง

ใช่สิ มันดีอยู่ล่ะ


แต่มันจะอยู่อีกนานแค่ไหนกันนะ มันไม่มีความถาวรเลยล่ะ
เราให้คำนิยามชีวิตเราช่วงนี้เองเลยว่าดี

เอาจริงๆมันก็เกินพอดีไปหน่อยแหล่ะ เพราะ..


มามองในมุมกลับกัน
โฟกัสที่ผลมิดเทอมของเรา บอกได้สั้นๆง่ายๆ ด้วยหน้าตาไม่สบอารมณ์
"ไม่โอเค"
เลยล่ะ ดูเกรดเรานะ พูดได้เลยว่า "ชีวิตไม่ดี"
ในคณะที่ทุกคนอ่านหนังสือกันโคตรดีแม้แต่วิชาที่ไม่ซับซ้อนมาก ไอ้คนที่มัวแต่ชิลล์แล้วอ่านแค่รอบสองรอบอย่างเราจะไปเหลืออะไร
ตกมีนอย่างสนุกสนานจริงๆ (ประชด)




อ้าว แล้วมันยังไง ชีวิตเมิงจะดีหรือไม่ดีกันแน่วะ



...เอ
ตอนที่พิมพ์อยู่นี่ก็สนุกดีนะ ชอบเล่าเรื่องให้คนอื่นฟัง
ไม่ได้นิยมที่จะให้ทุกคนรู้จักชีวิตเราเยอะๆหรอก แต่ชอบเล่าเรื่องน่ะ ตอนนี้ก็มีแต่เรื่องตัวเองให้เล่า



สรุปเถอะเนาะ ก่อนจะจับประเด็นไม่ค่อยได้


เราชอบคำว่า ชีวิตดี
มันเหมือนกับว่าเราหาความสุขเล็กๆน้อยๆ แล้วเราก็ยอมรับมัน ให้มันมีผลต่อการมองชีวิตเรา
มองว่ามันดี มันสบายใจกว่าอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ

แต่ว่านะ มันก็ดูจะเป็นการสรุปจนเกินไป
เบื้องหลังภาพสวยๆในเฟส ในไอจี
เบื้องหลังเรื่องเล่าดีๆ ก็อาจจะแนบมาด้วยความลำบาก ไม่สบายใจ คิดมากเยอะแยะ


เราว่า คนส่วนมากที่ใช้ประโยคนี้ด่วนสรุปกับชีวิตคนอื่นมากไป


ติดอยู่กับภาพผิวเผินที่เห็นกันแว่บๆ ซึ่งมันสร้างได้แค่ไม่กี่นาที ในชีวิตหนึ่งวันหนึ่งพันกว่านาที

แล้วคนที่ใช้ประโยคแบบนี้(ที่เราเจอ)
ก็ชอบมองว่าชีวิตตัวเองไม่ดี

ทั้งที่ ถ้าสามารถสรุปว่าชีวิตส่วนเล็กๆของคนอื่นดีได้แล้ว ทำไมไม่สรุปชีวิตตัวเองไปบ้างละ

มองเรื่องสนุกๆนิดๆหน่อยๆในชีวิตเข้าไปด้วยสิ ให้ความสำคัญกับมันสิ
เดี๋ยวมันก็ดีเองแหล่ะ
คนที่เต็มไปด้วยการคิดเล็กคิดน้อย ความสุขในชีวิตมันจะค่อยๆลดน้อยลง



...ไม่รู้สิ ถึงจะมีเรื่องให้บ่น ให้ไม่พอใจ แต่เราก็ชอบชีวิตตอนนี้นะ
มันไม่ใช่ชีวิต "ที่ดี" สมบูรณ์ แบบที่เคยวาดไว้ก่อนมาหรอก

เหมือนเวลาชอบใครสักคน เรายังยอมรับที่จะอยู่กับข้อเสียของเขาได้
เพราะเราเลือกมองแต่ด้านที่ดีของเขา (ถ้าข้อเสียเขามันไม่รุนแรงเกินจะยอมรับน่ะนะ)




อันที่จริงก็อยากจะเสาะหาความสุขที่แท้จริงแบบนิพพาน อะไรแบบนั้นดูนะ
แต่ก็ยังยึดติดกับโลกนี้อยู่พอควร

ขอเวลาใช้ชีวิตก่อนละกันนะ





ช่วงนี้ชีวิตดีจังเลยน้า...



ป.ล.เขียนแล้วจะมีประเด็นโลกสวยต่อมั้ยน้าาาา

วันพฤหัสบดีที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2557

สับสน

สับสน อาจเกิดขึ้นจากสองกรณีคือ
อย่างแรก Hypostress ซึ่งมาจากอะไรอีกทีไม่รู้ ปล่อยปละละเลยชีวิตมานานเกินไป ?
อย่างสอง อากาศที่นี่ดีเกินไป

เรียนไปเรียนมาก็สับสน
เราจะตั้งใจเรียนเอาเกรดดีๆไปทำไมวะ

ตอนมอต้น มอปลายที่เครียดๆเรื่องเกรดแทบตาย

มาดูตอนนี้สิ มันมีผลอะไรในชีวิตบ้าง (นอกจากยื่นสอบ--ซึ่งก็เป็นเรื่องใหญ่อยู่)
ตัวเลข 79 - 91 - 66 อะไรก็ตามบนใบเกรดตอนนั้น
บอกตามตรงว่าลืมไปหมดแล้ว

คงจะต้องอธิบายก่อน ว่าเดิมพื้นฐานเราเครียดง่ายกับเรื่องเรียน
ถามว่าบ้าขนาดนั่งนับคะแนนทุกครั้งที่ส่งงานมั้ย ก็ไม่ใช่แบบนั้น ไม่เคยเป็น
เพียงแต่ใส่ใจกับทุกงาน ทุกรายละเอียดเท่าที่เป็นไปได้

จะว่าไปแล้วสำหรับเรามันก็คือความใส่ใจละมั้ง
แล้วเกรดก็เหมือนตัวบอกว่าความใส่ใจของเรามันถูกต้องมั้ย มันมากพอหรือเปล่า

หรือจริงๆเหตุผลอาจจะเป็นหลักการของ Operant conditioning
การทดลองที่ถ้าหมายอมทำตามที่เราต้องการแล้วมันจะได้อาหาร
ไม่ได้คิดอะไรมาก แค่เรียนไปให้ได้คะแนนดี (บ้านเราไม่มีรางวัลถ้าเกรดดี..)

เหรอ...?

แต่จุดเริ่มต้นจริงๆตอนประถมคือ อยากรู้
โลกมันมีอะไรน่ารู้เต็มไปหมด เลยอยากเรียน
มีอะไรที่เราไม่รู้อีกเยอะแยะเลย อยากฟังอาจารย์พูด

ตอนนี้ล่ะ
ถามว่าอยากรู้มั้ยว่าเซลล์มันส่งสัญญาณกันยังไง ใช้โปรตีนอะไรเป็นทางผ่าน
ถามว่าอยากรู้มั้ยว่าน้ำตาลมีโครงสร้างแบบบิดไปมาได้กี่แบบ เรียกได้กี่ชื่อ

ไม่โกหกเลยก็คือ ไม่อยากรู้
แล้วเราอยากรู้อะไร(วะ)เนี่ย

ที่เรียนคณะนี้ ก็เพราะอยากมีความรู้ว่าเจอคนเป็นโรคนี้ ต้องทำยังไงให้เขาหาย
อ้อ แต่ก่อนหน้านั้นต้องรู้ว่าเขาเป็นโรคอะไร
ก็ต้องรู้อีกว่าโรคเกิดจากอะไร ทำงานอย่างไร
และที่สำคัญคือต้องรู้ว่าปกติมันทำงานยังไง

แต่บางอย่างมันก็ยังรู้สึกว่าไม่จำเป็นอยู่ดีละนะ...

เหมือนมาเขียนรวบรวมความคิดตัวเอง เพราะถามเองตอบเองไปแล้ว
มันยากนะ ที่จะประกาศว่า ฉันจะแข่งกับตัวเอง
ในขณะที่มีการประกาศลำดับอยู่เต็มไปหมด

ถ้าเราเลิกสับสนแล้วตัดสินใจที่จะเรียน เพื่อ รู้
เราจะรอดมั้ยนะ
เราจะข้ามผ่านเกณฑ์ต่างๆเพื่อที่จะเรียนให้ลึกขึ้นอีกได้มั้ยนะ

ถามไปงั้นแหล่ะ มันไม่มีใครตอบได้จนกว่าเราจะเดินไปถึงจุดนั้นในอนาคต
เอาเป็นว่าจะไม่ลืมเป้าหมายการเรียน
ไม่ใช้ชีวิตแบบจมกับตัวเลขอะไรไม่รู้เกินไป

.
.
รอดูเดี๋ยวก็รู้

202/244

ป.ล. (นอกเรื่อง) ถ้าคนประกอบอาชีพนี้ทุ่มเทเพื่อคนอื่นกันหมดก็ดีหรอก

วันอาทิตย์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2557

โรแมนติกอิซึ่ม



"อ่างแก้วตอนกลางคืนโรแมนติกดีนะแก"

"นั่นสิๆ ไว้มากันเถอะ"

"มากับแกสองคนอ่ะนะ ไม่อ่ะ"

"เอ๋ เอ้อ จะมากับแฟนใช่มั้ยล่ะ"

"ถ้ามีก็คงจะมาหรอก"

---เพื่อนสองท่านที่กำลังมีความรักได้สนทนาเอาไว้

.....มัน......โรแมนติกยังไงวะ

เป็นคำถามที่ถามตัวเองประมาณสิบรอบของวันนี้
หลังจากปั่นจักรยานขึ้นเนินสองสามลูก (ที่สุดท้ายก็ลงไปเข็น)

แล้วก็มายืนหอบแฮกมองภาพตรงหน้า

มืดจะตาย

มันมีอะไรดีเนี่ย

ข้างๆริมๆรอบๆอ่างนั้นมีคนนั่งให้เห็นอยู่ประปราย
ทั้งนั่งคนเดียว ก้มหน้าก้มตาเล่นมือถือ
นั่งเป็นคู่ ที่ดูเหมือนเป็นเพื่อนกัน
นั่งเป็นคู่ ที่ดูเหมือนเป็นแฟนกัน
นั่งเป็นฝูง มานั่งดูดบุหรี่ สงสัยรีบ...


เดินวนรอบอ่างสักหน่อย
มีดนตรีเบาๆ จากผู้ชายซ้อมกีตาร์

เสียงโอเคเลย อดที่จะหยุดฟังไม่ได้
แล้วก็เดินต่อไปอีกฝั่งของภาพที่ลึกและมืดขึ้นเรื่อยๆ

ก็ยังมีคนนั่งคุยกัน
ไม่เหมือนที่รุ่นพี่พูดว่าจะมีแต่คนมาพลอดรัก

หรือยังไม่ดึกมากไม่รู้

ลมพัดแรงขึ้นเรื่อยๆ แต่ยังอยู่ในระดับสบาย แต่กางเกงขาสั้น
ทำเอาหนาวอยู่เหมือนกัน


เลยหมุนตัวกลับ

คู่รักหรือเพื่อนที่มาก็เริ่มนั่งใกล้ๆกัน
แนบๆกัน เพิ่มความอบอุ่น แต่ก็ยังดูงาม ไม่ประเจิดประเจ้ออะไร


มองอ่างแก้วอีกที

.
.
มืดจะตาย

แต่อากาศดี ถือว่าโอเคอยู่
แต่มันโรแมนติกยังไงวะ


เอ้ะ แล้วโรแมนติกนี่มันอะไรนะ
ถามกูเกิ้ลแล้วกูเกิ้ลอ้อมค้อม เลยใช้ เอ้ย ถามเพื่อน

เหมือนว่าเดิมจะใช้ความหมายว่าตามธรรมชาติของวรรณคดีแบบromance
..อ้าว งง อ้ะ เป็นวรรณคดีแบบอุดมคติ

..เข้าใจก็ได้
หรือมันคงเป็นสภาวะอุดมคติ อย่างน้อยๆก็ใกล้เคียงอุดมคติ
แบบนั้นหรือเปล่า



....เสียงทุ้มๆกับกีตาร์ยังไม่เลิก เลยไปนั่งที่ม้านั่งที่ห่างออกมาอีกหน่อย

เอ้อ เพราะดี

บังเอิญเงยหน้าไป

เห็นดาวด้วยแฮะ
เพ่งดีๆเห็นเยอะเหมือนกัน

ปกติอยู่ที่หอเห็นไม่ค่อยชัดเลย

ลมเย็นๆพัดมาอีกช่วง

นั่งเฉยๆอีกหน่อยก็ดีเหมือนกัน...



อย่างนี้มันโรแมนติกหรือยังนะ

ก้มหน้าก้มตากดมือถือคุยกับเพื่อน
ลองปิด แล้วฟังเสียงจิ้งหรีด
ปนกับเสียงเพลง

ลองหลับตาแล้วรับลมดู



......
....

อ้อ

มันเป็นแบบนี้นี่เอง









หนาวแฮะ..

มิน่าทำไมต้องมากับคนที่สามารถกอดได้

...





...ไม่สิ คราวหน้าขอแค่เสื้อม่วงกับกางเกงขายาวของเราก็พอแล้วละ
ไม่ได้เดือดร้อนขนาดนั้น


เดินๆคิดอยู่คนเดียวไปหาจักรยาน เตรียมเผชิญโค้งและเนินกลับหอ

ที่ทั้งหมดมันหาคำตอบได้ยากขนาดนี้
คงเป็นเพราะความโรแมนติกในจิตใจมันต่ำไปหน่อย..



แต่ว่าถ้าได้มานอนดูดาว 
แล้วมีคนคุยด้วยนี่มันคงจะโอเคขึ้นเยอะทีเดียว



มันไม่ค่อยโรแมนติกหรอกมั้ง 

เอ้ะ หรือโรแมนติกนะ





วันพุธที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2557

All that matter is T I M E

กลายเป็นบล็อกสัพเพเหระไปแล้วแฮะ..

ไปดูลูซี่มา.. นานละ ดังนั้นเนื้อหามั่วๆก็ปล่อยเราไปนะ


แต่ ส ป อ ย ล์ นะจ้ะ


ถ้ายังไม่หยุดอ่านตั้งแต่ตอนนี้
มันก็..สปอยล์อยู่ดี ตั้งแต่ชื่อละ อิอิกำ



ในช่วงชีวิตนึงเราผ่านอะไรมามากมายเยอะแยะ
ซึ่งพอมันผ่านไป กลายเป็นอดีตที่จำต้องไม่ได้
กลายเป็นความทรงจำ

ยิ่งเวลาผ่านไปอีก

มันเหมือนเป็นเรื่องแต่งเองของสมอง

เคยคิดแบบเรามั่งมั้ย ? 55555


ส่วนหนังเรื่องนี้บอกเราว่า สิ่งที่ทำให้เรามีตัวตนอยู่คือ เวลา
เวลาชั่วขณะนี้ ที่เราสัมผัส รับรู้ได้

เพราะหากเรามองเวลาที่ผ่านไปอย่างรวดเร็วแล้ว

มันก็เหมือนกับความว่างเปล่าที่ไม่เคยมีใครอยู่ตรงนั้นมาก่อน


อันที่จริงแล้วชีวิต ความฝัน งาน ความทุกข์ทรมาน บ้าน สงคราม น้ำท่วม แดดร้อน

มันไม่ได้มีอยู่เลย

เป็น อนัตตา (พุทธ...แต่ใช้คำนี้ตรงสุด)


จะเถียงก็ได้ว่าเดี๋ยวนี้มีวิธีสร้างหลักฐานมากมาย ไหนจะถ่ายรูป ไหนจะเก็บของ
ไม่เห็นว่ามันจะดูไม่เป็นจริงยังไง


จะอธิบายยังไงดี บอกไม่ถูก เพราะไม่ใช่คนเชี่ยวชาญ


แต่เข้าใจว่า ตอนเกิดเราก็ไม่มีอะไร ตอนตายก็ไม่มีอะไร
สิ่งของเครื่องใช้ ที่มาของอารมณ์ต่างๆนั้น เกิดจากการระบุอารมณ์เนื่องมาจากสภาพของร่างกาย

ลองถอยออกมาสองสามก้าว
ข้าวของวันนี้ก็เป็นขยะในวันพรุ่งนี้
ลองนึกภาพมองรูปครอบครัวคนที่ไม่รู้จักก็ไม่ได้แคร์อะไร ถ้าหล่นพื้นบางทีก็เหยียบเลยด้วยซ้ำ
ภาพของเรามันดีกว่าภาพพวกนั้นยังไง
เพราะให้

"ความหมาย"

มันเข้าไป

มันเลยมีคุณค่าทางความรู้สึกขึ้นมา
ความรู้สึกที่จับไม่ได้ ที่ตายไปมันก็หมดคุณค่า

ทั้งที่ก็กระดาษร้านปริ๊นท์ร้านเดียวกัน..


ก็นั่นแหล่ะ
ถ้าจะมองให้ละเอียด คนหรือสิ่งมีชีวิตมันก็เท่านี้เอง เลือดเนื้อ บลาๆ ก็โปรตีน สารอินทรีย์เล็กๆ ที่ประกอบกัน


มันไม่มีอะไรคงอยู่ถาวร


ไม่มีเลย
รวมถึงอารมณ์ปริศนาตอนนี้ เดี๋ยวก็หายไป


ในฐานะมนุษย์เดินดินคนธรรมดา
เราตกอยู่่ในเกมที่ไม่มีวันออกได้
เกมที่มีกรอบง่ายๆ

ที่เรียกว่า เ ว ล า

เราเร่งมันไม่ได้ หยุดมันไม่ได้ ย้อนกลับไปหามันไม่ได้



แล้วสรุปเราก็เขียนมาเนี่ย
มันก็ยังไม่มีอะไรยืนยันคำตอบของคำถามว่า

เราเกิดมาทำอะไร


หนังบอกให้ถ่ายทอดสิ่งที่รู้ต่อไปสู่ลูกหลาน
เพราะนั่นคือเหตุผลของการมีชีวิตของสิ่งมีชีวิต

เพื่อดำรงอยู่ต่อไป

งั้นเหรอ ? (อาจจะตีความพลาดก็ได้นะ)


เราจะดำรงอยู่กันไปทำไมนะ
การมีชีวิตนี่มันเพื่ออะไร
ทำไมจักรวาลไม่ว่างๆโล่งๆดำๆของมันต่อไปกันนะ...

น่าสงสัยจริงๆ...


สุดท้ายก็อยากบอกว่า ที่พิมพ์ๆไม่ได้ผ่านกรองเลย พิมพ์ตามอะไรไม่รู้
บางทีเราก็วิ่งไปในโลกมากไป ตามงานตามเงิน ตามกิจกรรม
มันทำให้อินมากไป เหนื่อยไป

ต้องถอย หรือหยุดสักหน่อย


....เนาะ ?

วันศุกร์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2557

ให้ความสำคัญกับที่ 2 3 4 เถอะ

อ่านหัวข้อแล้วอาจงง เรื่องมันไม่มีอะไร
เราหมายถึงอันดับที่เรียนตอนเอนท์/แอด/รับตรง บลาๆ

อันดับหนึ่งในใจคงคิดกันมาดีอยู่แล้ว

แล้วอันดับ 2 3 ยิ่งไปกว่านั้นคืออันดับ "สุดท้าย"

ตอนเลือกควรใช้หลักคล้ายๆกับการเลือกอันดับแรก
ของเราคือ ถ้าไปอยู่แล้วโอเค ชอบ (แต่น้อยกว่า 1)

ไม่ใช่จะให้เผื่อใจพลาดตั้งแต่ต้น แต่เป็นการเลือก"แผนสำรอง"อย่างรอบคอบ
ถ้าแผนสำรองเป็นแผนที่เราเลือกใช้แล้วชีวิตพัง อยู่ไม่ได้ ตายแน่เลย (เว่อร์ไป) อย่าใส่

อย่าใส่อันดับท้ายๆส่งๆเพราะเห็นว่ามันคะแนนต่ำดี
อย่าใส่อันดับท้ายๆง่ายๆเพราะคิดว่าถ้าเลือกแบบนี้ไงๆก็ติด

ไม่ใช่ว่าให้ยึดติดกับสถาบันหรืออะไรแบบนั้น
เพราะเรานี่แหล่ะตัวไม่ยึดเลย เน้นแค่คณะ กับภาพรวมที่ผ่านมาของมหาลัยนั้นโอเค(บางที่เพิ่งเปิด หรือคณะที่เราจะเข้าไม่เวิร์คจริๆก็ต้องยอมรับ)

ถ้าจะพูดให้เป็นรูปธรรมขึ้นมาอีก
คือการเลือกที่เรียนต่างจังหวัด
ไม่ว่าจะออกมาจากจังหวัดอื่นหรือกทม.

แต่เด็กกทม.ที่ไม่ชินกับการปรับตัวอาจจะมีปัญหาเยอะสุด
เพราะสภาพสังคมของเรา(เด็กกทม.)แตกต่างกัน

ไม่ใช่เรื่องสปีดการเดินเร็วของคน
ไม่ใช่ความใจดีของคุณป้าข้างทางที่อยู่ๆก็ชวนคุย
ไม่ใช่เนินขึ้นๆลงๆของพื้นที่
ไม่ใช่ฉากที่เป็นภูเขา แทนที่จะเป็นตึกสูงมากมายเรียงราย
ไม่ใช่การคมนาคมที่ไม่มีbts
ไม่ใช่แฟชั่นกางเกงวอร์ม

มันคือทุกอย่างในนั้น

เราอยู่ได้มั้ยชีวิตที่ไกลจากภาพเดิมๆ ไกลจากครอบครัว ไกลจากเพื่อนเก่าๆ ไกลจากที่เก่าๆ
มีกำลังใจจะไปขนาดไหน

มีเพื่อนหลายๆคนที่ไม่เคยไกลบ้านมาก่อน แต่อยากมาเรียน มีกำลังใจจะสู้ในที่ใหม่แห่งนี้
เขาก็โฮมซิคกัน แต่สุดท้ายก็ผ่านมันไปได้ และใช้ชีวิตต่อไปอย่างสนุกสนาน

มีเพื่อนหลายๆคนที่ไม่ไกลบ้าน ไม่ได้อยากมาเรียนเท่าไหร่ ที่นี่มันอันดับสุดท้าย
เขาก็โฮมซิค ต่อต้านทุกอย่างในนั้น เบื่อ ไม่อยากอยู่ และยังไม่รู้ว่าจะใช้ชีวิตต่อยังไง

คนเราสามารถมีข้ออ้างได้ร้อยแปดพันเก้า เราด่าได้หมดแหล่ะ ถ้าคิดจะด่า
แต่ถ้าเรายืนอยู่บนหลักเหตุและผลง่ายๆ เราจะเข้าใจตัวเอง

มันยากที่จะเปลี่ยนคนอื่น และเปลี่ยนตัวเองก็ไม่ได้ง่ายเลย
ยิ่งเราปล่อยให้ตัวเองจมลงไปในความรู้สึกดำมืด ที่เราสร้างขึ้นมาเอง...
..มันก็ไม่ง่ายเลยที่จะเห็นเรื่องดีๆในสภาพแวดล้อมนั้น ไม่ง่ายเลยที่จะเห็นภาพรวม


ที่พร่ำเพ้อทั้งหมดนั่นก็แค่อยากจะบอกให้คิดก่อนเลือก หาข้อมูลก่อนเลือก
ถามตัวเองก่อนเลือก
พ่อแม่ผู้ปกครองคนเลี้ยงเรามาเป็นคนที่สำคัญมากก็จริง
แต่เขาก็รู้แน่นอนว่าเขาอยู่กับเราทั้งชีวิตไม่ได้
เขาบังคับเราฝันไม่ได้
เขาบังคับเรามีความสุขไม่ได้
มันไม่เคยง่ายหรอก กับเรื่องพวกนี้

แต่ทำไมไม่ลองสู้ไปให่สุดดูล่ะ ทำไมไม่เลือกสิ่งที่ดีที่สุดไปล่ะ

ทำตามทางที่คนอื่นชี้ มันอาจจะดีก็ได้
แต่อยู่กับมันอย่างมีความสุขได้หรือเปล่า


...มหาวิทยาลัยไม่ใช่ทุกสิ่งทุกอย่าง
มันเป็นเพียงจุดเริ่มต้นทางนึงของชีวิตผู้ใหญ่เท่านั้น

แต่เพราะมันเป็นจุดเริ่มต้นนั่นแหล่ะ
เราเลยต้องทำให้ตัวเองมีสิทธิ์เลือก และเลือกที่ๆเหมาะกับเราได้...


ให้ความสำคัญกับที่ 2 3 4 เถอะนะ

วันอังคารที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2557

ทริปล่าเปียที่ยุ่น (0)






"เอนท์ติดไปยุ่นกัน"

"เออๆ เปียมันอยู่ที่นั่นด้วยหนิ ให้มันพาเที่ยวได้ป่าววะ"

"ถ้ามันออกมาได้นะ ปีหน้ามันก็เอนท์เหอะ"

"นั่นดิ แต่วันสองวันไม่เป็นไรม้างง"

"มันเป็นนักเรียนดีเด่น บลาๆ นะเว่ย 5555"

"เห้ออ อยากไปๆ ถ้าได้ไปจะไปไหนอ่ะ"

"แม่จะให้ไปรึเปล่าเถอะ"

"เอาให้เอนท์ก่อนมั้ยแก แล้วค่อยคิด 5555"

"นั่นสินะ /ถอนหายใจ/"


     บทสนทนาอารมณ์นี้มีหลายสิบรอบ ตั้งแต่ตอนไหนหว่า มอห้าเทอมสองมั้ง ใครเป็นคนเริ่มชวนก็จำไม่ได้แล้ว คนนึงติ่งไอดอล อีกคนนึงอยากหาเรื่องเที่ยว ..จุดประสงค์ไร้สาระมาก เดิมชวนกันไว้หลายคน จนเกือบจะได้ไปสี่คน แล้วไปๆมาๆก็เหลือกันอยู่สามคน

     ไอ้ตอนตกลงกันจนรอเพื่อนประกาศผลสอบก็ไม่เห็นรู้สึกว่ามันจะจริง
     ไอ้ตอนบ่นๆชวนๆครั้งแรกน่ะเหมือนหาเรื่องคลายเครียดชัดๆ
     ไม่คิดว่าพอแม่จะให้ไปจริงๆ
     ไม่คิดว่าเพื่อนจะไปจริงๆ

     จนวันที่ผลสอบเพื่อนออก ปวดหัววุ่นวายกับเส้นทางชีวิตเสร็จสรรพ
   
     ......

     อ้าว ...... มันจริงแล้วแฮะ ต้องหาโรงแรม ต้องจองตั๋ว ดูการเดินทาง บลาๆ
     ได้ความหงุดหงิด เฮฮา รำคาญ สับสน มึนงง (//กราบแม่มากๆที่ผ่านมาแม่วางแผนเที่ยวคนเดียว)


     ไอ้ตอนที่เขียนบทความนี้มันเป็นไม่กี่วันก่อนจะออกเดินทาง

      ....มันคงจะเป็นการผจญภัยเล็กๆ เป็นประสบการณ์ใหม่ๆ

      และ มันกำลังจะเริ่มต้นขึ้นแล้วล่ะ !



24.05.14 02.00

วันอาทิตย์ที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

BIKE in BANGKOK ครั้งแรก


..เมื่อมนุษย์เหนื่อยๆ ไม่ค่อยจะอยากก้าวออกจากบ้านในวันแดดเปรี้ยง
แต่อยากขี่จักรยานในกทม.



เราเปิดการขี่จักรยานครั้งแรกด้วยการข้ามสี่แยก / บนฟุตบาธ / ตัดร้านค้า / ซอย
สิ่งเดียวที่ยังไม่ได้ทำรอบนี้คือขี่ถนนใหญ่



ทางไม่ยากเพราะเริ่มจากแถวพญาไทแล้วไปสวนสันติภาพ (เพราะไปวิ่ง)
สภาพตอนถึงสวนที่วิ่งจริงๆคือเหงื่อโชก เหมือนวิ่งมาแล้วสิบกว่ารอบ = =;











- มันก็เหมือนไดอารี่บล็อกจากเดิมที่ exteen ล่ะมั้ง แต่ที่เก่าเข้าเว็บยากไปหน่อย
เลยมาที่นี่เอาละกัน 
- เขียนๆเก็บไว้เผื่อตัวเองอ่านตอนแก่ๆ 555555 สำหรับบางเรื่องที่น่าสนใจจริงๆ และ public ได้ หรือก็แล้วแต่อารมณ์นั่นเอง
-หวังว่าจะไม่ดอง
-ถ้าเป็นไปได้จะเขียนทริปยุ่น..มั้งนะ