วันเสาร์ที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2557

ชีวิตดี

ช่วงนี้ได้ยินคนใช้คำนี้บ่อย


ชีวิตดี

"น่าอิจฉาเนาะ ชีวิตคนนี้ดีจัง ถ้าเป็นแบบนั้นได้ก็คงดี"

..เหรอ ?
(ทำไมเรากวนตีนจังวะ)




 ลองฟังเราหน่อย

ช่วงวันหยุดนี้กำลังสบาย ขี่จักรยานไปเที่ยววัดอุโมงค์มา อากาศเย็นๆกำลังดี
เดินเข้าไปดูร้างๆหน่อย แต่ไม่ผิดหวังเลย มีไก่สวยๆหลายตัว เลยเหมือนคนบ้าซุ่มถ่ายไก่ในพุ่มไม้แถวนั้น


ในซอยก็มีร้านกาแฟที่น่าสนใจ นั่งชิลล์ สโคนทาแยมเสาวรสรสชาติดี หอมกลิ่นเนยจางๆ

ความรู้สึกตอนที่ลมพัดหน้าตอนขี่จักรยานลงเนินมันยังสนุกทุกครั้งจริงๆ
ต้นไม้รายล้อมสองข้างทางทำให้รู้สึกอยู่ใกล้ป่ามากๆ (ซึ่งก็ใกล้จริงๆ)
ผ่านไปเจอเขตอุทยานแห่งชาติด้วยเหมือนว่าจะส่องสัตว์ได้ คราวหน้าจะไปให้เร็วอีกหน่อย เผื่อได้เจอฝูงวัวแดงแบบที่คุณลุงคนนั้นบอกบ้าง...

บอกเลยว่าเป็นคนบ้าที่จักรยานไหลไปข้างหน้าแล้วต้องส่งเสียงอะไรสักอย่าง
ผิวปากดังๆ วี๊ววววววววววววววว

จะว่ายังไงดี มันไม่ใช่ว่าไม่เคยใช้ชีวิตแบบนี้เลยสนุก

มันเหมือนย้อนกลับไปตอนเด็กๆที่เคยได้ใช้ชีวิตแบบนี้

ได้ขี่จักรยานโต้ลม มือที่กำแฮนด์แน่นๆเวลาเข้าโค้ง เสียงแก๊กๆของการเปลี่ยนเกียร์ ปวดตูดหน่อยๆที่นั่งอานนานๆ น่องที่เริ่มเมื่อยและไม่รู้จะเพิ่มขนาดมากมั้ย (ฮ่า) หอบเพราะขี่ขึ้นเนินบ้าง ถีบหนีหมาที่เห่าไล่บ้าง



อันนี้เรียกชีวิตดีได้มั้ย




วันนี้ก็เป็นวันที่ดี หลังจากไปนั่งเล่นกับเด็กในวอร์ดเด็ก
ดูเด็กระบายสีแล้วมันสนุกดีนะ เหมือนเห็นความตั้งใจบางอย่างที่บริสุทธิ์
เพราะน้องเขาไม่ได้อยากได้คำชม (เขาฟังเราไม่ออกด้วยซ้ำ)
ระบายไปก็ไม่มีคะแนนให้
คิดถึงตัวเองตอนเริ่มวาดรูปแรกๆมากเลยจริงๆ
(แต่เอนทรี่นี้ไม่ใช่เรื่องเราวาดรูป ดังนั้นจะไม่เพ้อถึง)

ช่วงบ่ายก็ไปลองลาเต้อาร์ทที่ฮิตมาก คนทะลักร้าน นักท่องเที่ยวเต็มไปหมด
ราคาโหดไป(ไม่)นิด แต่หน้าตาลาเต้กับรสชาติขมๆกลมกล่อมนั้นถือว่าหาไม่ได้จากกาแฟ 35 บาท
..คิดซะว่าเสพงานศิลปะละกัน

ผ่านพ้นถนนและแสงแดดบ่ายสุดร้อนระอุมาถึงหอ
ภูมิใจจะบอกมากว่าหออากาศดี มีต้นไม้และที่นั่งร่มรื่น
(แต่ขี่จักรยานเข้าซอยมาโคตรไกล...)

เอาหนังสือ หิมาลัยต้องใช้หูฟังมาอ่าน พร้อมกับเปิดเพลงจากอัลบั้ม Voice of romance ที่แม่เซฟไฟล์มาให้ สบายหูมากกว่าเพลงในร้านกาแฟเมื่อกี๊อยู่มาก

เอนหลังพิงพนักสบายๆ เสพตัวอักษรและภาพไป

ไปเที่ยวคนเดียวมันมีเสน่ห์หลายอย่างมาก

อ่านแล้วแอบยิ้ม เพราะเจอคนแบบเดียวกันทั้งที่ไม่ได้รู้จักอะไรกันเลย มันเป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆ แต่เวลาอ่านหนังสือ(ไม่ได้อ่านมานานแล้วขอสารภาพ) มันเหมือนได้คุยกับคนเขียน ได้สนิทกันโดยที่ไม่มีเงื่อนไขด้านใดๆ ไม่ว่าอาชีพ หน้าตา อายุ ฯลฯ  นี่ก็เป็นความรู้สึกชวนคิดถึงที่จมอยู่แล้วรู้สึกดี


ข้อดีของอากาศช่วงนี้คือ ไม่ร้อนมาก ถ้าไม่มีแดดก็เรียกว่าเย็นพอได้

เปิดหน้าต่างกับพัดลมก็เพียง สำหรับคนเหงื่อออกโคตรง่าย นึกถึงค่าไฟแล้วก็สบายใจขึ้นหน่อย (ฮา)




วันก่อนโน้นที่กลับหอค่ำๆ
แล้วเพื่อนจะมาหอ เลยจัดแจงเก็บหอ เปิดเพลงช้าๆ (เสพติดพอควรเลย)
ฝึกพับเสื้อยืดแบบเทคนิคญี่ปุ่น (ยังไม่งาม แต่โออยู่)
เก็บข้าวของให้มันสบายตา
กวาดพื้นอยู่สามรอบ ฝุ่นเยอะทุกวัน ไม่รู้มาจากไหนเยอะแยะ
ล้างจานที่ดองไว้
ล้างห้องน้ำ เวลาคราบต่างๆมันละลายลงท่อไปเนี่ย มันรู้สึกดีบอกไม่ถูกเลยนะ

เสร็จก็เดินหมุนไปรอบๆชื่นชมผลงาน
พักผ่อนสักหน่อยโดยการเปิดโซเซียลเน็ตเวิร์ค (เรื่องอันตรายจากความสุขที่ได้ทำงานบ้าน -- นี่ก็ขอละไว้ก่อน)

แต่ถึงจะบ่นโน่นนี่ ทำงานบ้านแล้วมันก็สบายใจอย่างบอกไม่ถูกเหมือนกัน


เพื่อนบอกว่า มีความสุขง่ายๆแบบนี้ก็ดีแล้วไม่ใช่หรือไง

ใช่สิ มันดีอยู่ล่ะ


แต่มันจะอยู่อีกนานแค่ไหนกันนะ มันไม่มีความถาวรเลยล่ะ
เราให้คำนิยามชีวิตเราช่วงนี้เองเลยว่าดี

เอาจริงๆมันก็เกินพอดีไปหน่อยแหล่ะ เพราะ..


มามองในมุมกลับกัน
โฟกัสที่ผลมิดเทอมของเรา บอกได้สั้นๆง่ายๆ ด้วยหน้าตาไม่สบอารมณ์
"ไม่โอเค"
เลยล่ะ ดูเกรดเรานะ พูดได้เลยว่า "ชีวิตไม่ดี"
ในคณะที่ทุกคนอ่านหนังสือกันโคตรดีแม้แต่วิชาที่ไม่ซับซ้อนมาก ไอ้คนที่มัวแต่ชิลล์แล้วอ่านแค่รอบสองรอบอย่างเราจะไปเหลืออะไร
ตกมีนอย่างสนุกสนานจริงๆ (ประชด)




อ้าว แล้วมันยังไง ชีวิตเมิงจะดีหรือไม่ดีกันแน่วะ



...เอ
ตอนที่พิมพ์อยู่นี่ก็สนุกดีนะ ชอบเล่าเรื่องให้คนอื่นฟัง
ไม่ได้นิยมที่จะให้ทุกคนรู้จักชีวิตเราเยอะๆหรอก แต่ชอบเล่าเรื่องน่ะ ตอนนี้ก็มีแต่เรื่องตัวเองให้เล่า



สรุปเถอะเนาะ ก่อนจะจับประเด็นไม่ค่อยได้


เราชอบคำว่า ชีวิตดี
มันเหมือนกับว่าเราหาความสุขเล็กๆน้อยๆ แล้วเราก็ยอมรับมัน ให้มันมีผลต่อการมองชีวิตเรา
มองว่ามันดี มันสบายใจกว่าอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ

แต่ว่านะ มันก็ดูจะเป็นการสรุปจนเกินไป
เบื้องหลังภาพสวยๆในเฟส ในไอจี
เบื้องหลังเรื่องเล่าดีๆ ก็อาจจะแนบมาด้วยความลำบาก ไม่สบายใจ คิดมากเยอะแยะ


เราว่า คนส่วนมากที่ใช้ประโยคนี้ด่วนสรุปกับชีวิตคนอื่นมากไป


ติดอยู่กับภาพผิวเผินที่เห็นกันแว่บๆ ซึ่งมันสร้างได้แค่ไม่กี่นาที ในชีวิตหนึ่งวันหนึ่งพันกว่านาที

แล้วคนที่ใช้ประโยคแบบนี้(ที่เราเจอ)
ก็ชอบมองว่าชีวิตตัวเองไม่ดี

ทั้งที่ ถ้าสามารถสรุปว่าชีวิตส่วนเล็กๆของคนอื่นดีได้แล้ว ทำไมไม่สรุปชีวิตตัวเองไปบ้างละ

มองเรื่องสนุกๆนิดๆหน่อยๆในชีวิตเข้าไปด้วยสิ ให้ความสำคัญกับมันสิ
เดี๋ยวมันก็ดีเองแหล่ะ
คนที่เต็มไปด้วยการคิดเล็กคิดน้อย ความสุขในชีวิตมันจะค่อยๆลดน้อยลง



...ไม่รู้สิ ถึงจะมีเรื่องให้บ่น ให้ไม่พอใจ แต่เราก็ชอบชีวิตตอนนี้นะ
มันไม่ใช่ชีวิต "ที่ดี" สมบูรณ์ แบบที่เคยวาดไว้ก่อนมาหรอก

เหมือนเวลาชอบใครสักคน เรายังยอมรับที่จะอยู่กับข้อเสียของเขาได้
เพราะเราเลือกมองแต่ด้านที่ดีของเขา (ถ้าข้อเสียเขามันไม่รุนแรงเกินจะยอมรับน่ะนะ)




อันที่จริงก็อยากจะเสาะหาความสุขที่แท้จริงแบบนิพพาน อะไรแบบนั้นดูนะ
แต่ก็ยังยึดติดกับโลกนี้อยู่พอควร

ขอเวลาใช้ชีวิตก่อนละกันนะ





ช่วงนี้ชีวิตดีจังเลยน้า...



ป.ล.เขียนแล้วจะมีประเด็นโลกสวยต่อมั้ยน้าาาา

วันพฤหัสบดีที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2557

สับสน

สับสน อาจเกิดขึ้นจากสองกรณีคือ
อย่างแรก Hypostress ซึ่งมาจากอะไรอีกทีไม่รู้ ปล่อยปละละเลยชีวิตมานานเกินไป ?
อย่างสอง อากาศที่นี่ดีเกินไป

เรียนไปเรียนมาก็สับสน
เราจะตั้งใจเรียนเอาเกรดดีๆไปทำไมวะ

ตอนมอต้น มอปลายที่เครียดๆเรื่องเกรดแทบตาย

มาดูตอนนี้สิ มันมีผลอะไรในชีวิตบ้าง (นอกจากยื่นสอบ--ซึ่งก็เป็นเรื่องใหญ่อยู่)
ตัวเลข 79 - 91 - 66 อะไรก็ตามบนใบเกรดตอนนั้น
บอกตามตรงว่าลืมไปหมดแล้ว

คงจะต้องอธิบายก่อน ว่าเดิมพื้นฐานเราเครียดง่ายกับเรื่องเรียน
ถามว่าบ้าขนาดนั่งนับคะแนนทุกครั้งที่ส่งงานมั้ย ก็ไม่ใช่แบบนั้น ไม่เคยเป็น
เพียงแต่ใส่ใจกับทุกงาน ทุกรายละเอียดเท่าที่เป็นไปได้

จะว่าไปแล้วสำหรับเรามันก็คือความใส่ใจละมั้ง
แล้วเกรดก็เหมือนตัวบอกว่าความใส่ใจของเรามันถูกต้องมั้ย มันมากพอหรือเปล่า

หรือจริงๆเหตุผลอาจจะเป็นหลักการของ Operant conditioning
การทดลองที่ถ้าหมายอมทำตามที่เราต้องการแล้วมันจะได้อาหาร
ไม่ได้คิดอะไรมาก แค่เรียนไปให้ได้คะแนนดี (บ้านเราไม่มีรางวัลถ้าเกรดดี..)

เหรอ...?

แต่จุดเริ่มต้นจริงๆตอนประถมคือ อยากรู้
โลกมันมีอะไรน่ารู้เต็มไปหมด เลยอยากเรียน
มีอะไรที่เราไม่รู้อีกเยอะแยะเลย อยากฟังอาจารย์พูด

ตอนนี้ล่ะ
ถามว่าอยากรู้มั้ยว่าเซลล์มันส่งสัญญาณกันยังไง ใช้โปรตีนอะไรเป็นทางผ่าน
ถามว่าอยากรู้มั้ยว่าน้ำตาลมีโครงสร้างแบบบิดไปมาได้กี่แบบ เรียกได้กี่ชื่อ

ไม่โกหกเลยก็คือ ไม่อยากรู้
แล้วเราอยากรู้อะไร(วะ)เนี่ย

ที่เรียนคณะนี้ ก็เพราะอยากมีความรู้ว่าเจอคนเป็นโรคนี้ ต้องทำยังไงให้เขาหาย
อ้อ แต่ก่อนหน้านั้นต้องรู้ว่าเขาเป็นโรคอะไร
ก็ต้องรู้อีกว่าโรคเกิดจากอะไร ทำงานอย่างไร
และที่สำคัญคือต้องรู้ว่าปกติมันทำงานยังไง

แต่บางอย่างมันก็ยังรู้สึกว่าไม่จำเป็นอยู่ดีละนะ...

เหมือนมาเขียนรวบรวมความคิดตัวเอง เพราะถามเองตอบเองไปแล้ว
มันยากนะ ที่จะประกาศว่า ฉันจะแข่งกับตัวเอง
ในขณะที่มีการประกาศลำดับอยู่เต็มไปหมด

ถ้าเราเลิกสับสนแล้วตัดสินใจที่จะเรียน เพื่อ รู้
เราจะรอดมั้ยนะ
เราจะข้ามผ่านเกณฑ์ต่างๆเพื่อที่จะเรียนให้ลึกขึ้นอีกได้มั้ยนะ

ถามไปงั้นแหล่ะ มันไม่มีใครตอบได้จนกว่าเราจะเดินไปถึงจุดนั้นในอนาคต
เอาเป็นว่าจะไม่ลืมเป้าหมายการเรียน
ไม่ใช้ชีวิตแบบจมกับตัวเลขอะไรไม่รู้เกินไป

.
.
รอดูเดี๋ยวก็รู้

202/244

ป.ล. (นอกเรื่อง) ถ้าคนประกอบอาชีพนี้ทุ่มเทเพื่อคนอื่นกันหมดก็ดีหรอก