วันศุกร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

เพราะเราก็เปลี่ยน


เขียนบล็อกบ่นเรื่องตัวเองอีกแล้ว
ระหว่างที่นั่งเคี้ยวโยเกิร์ตโกโก้กล้วย(ไม่แนะนำ)ที่ซื้อมาจากหลังมอ ก็นั่งถึง

"ความเปลี่ยนแปลง"

เห็นเพื่อนพูดถึงความเปลี่ยนแปลงในแนวคิดตัวเอง ชีวิตหลังขึ้นมหาลัยกัน
เพิ่งนึกได้ว่าตัวเองก็เปลี่ยนไปไม่ใช่น้อย ไม่แน่ใจว่าดีขึ้นหรือแย่ลงนะ

สมมุติฐาน : เปลี่ยนเพราะ อยู่คนเดียว / อยู่เชียงใหม่ / อยู่ไกลบ้าน
ตัวแปรต้น : เราเอง
ตัวแปรควบคุม : ไม่มีอ่ะ การกลับบ้านน้อยๆ ?
ตัวแปรตาม : เปลี่ยน

(มั่วจัง เป็นเด็กวิทย์ได้ไงหว่าเรา)


1.กินเปลี่ยน
นิยามคำว่ากินข้าวนอกบ้านกว้างขึ้นอย่างชัดเจน ไม่ได้กระแดะหรืออะไรนะ แต่เดิมแล้วโอกาสการกินอาหารริมถนนเกือบเท่ากับ 0 (เว้นตอนไปกินเยาวราช) ส่วนใหญ่เรากินอาหารที่บ้าน ไม่ก็เข้าห้างไปเลย มาที่นี่พบว่าพอเริ่มกินร้านหลังมอได้ ก็ไล่กินไปเรื่อยๆ เริ่มไม่สนใจสุขอนามัยเท่าไหร่ เอาคอนเซปต์"กินแล้วไม่ท้องเสียก็พอ"มาใช้รัวๆ ซึ่งบางทีก็รู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไหร่เวลาได้เห็นหลังร้านที่สะอาดบ้างไม่สะอาดบ้าง อย่างอื่นก็ ได้ลองกินดึก ไฝ้วนอนดึกเผื่อกินดึก ตอนตีหนึ่งแบบนั้น

2.น้ำหนักเปลี่ยน
สืบเนื่องจากข้อที่แล้ว น้ำหนักขึ้น...ไม่มากเท่าไหร่ เมื่อเทียบกับพุงที่ออกมาอย่างจริงจัง เราพบว่าอ้วนง่าย (ลงยาก..) เราไม่ได้โทษอาหารนะ โทษตัวเอง 555 ปกติอยู่บ้านจะกินข้าวกล้องหรือข้าวที่ยังไม่ได้ขัดขาว มันทำให้อิ่มง่ายกว่าเยอะเลย ร้านอาหารริมถนนมีแต่ข้าวขาวกับข้าวหัก ที่กินด้วยสปีดอย่างเราแล้วมันรู้สึกไม่เคยอิ่มในจานเดียว

3.ติดของหวาน
เดิมก็กินของหวานนะ แต่ไม่ได้กินวันละเกือบทุกมื้อขนาดนี้ เหตุผลเดิม ไม่อิ่ม นั่นแหล่ะ

4.พบว่าตัวเองยังมีชีวิตอยู่ได้ !
เคยคิดว่าคนที่ทำงานบ้านไม่เป็นสักอย่าง ขี้เกียจกวาดห้อง กับข้าวก็ทำไม่เป็น จะไปอยู่ได้ยังไง บอกตัวเองตอนนั้นไว้เลยว่า อยู่ได้ว้อย ซักผ้าเอง ล้างห้องน้ำเอง เก็บกวาดเอง

5.ป่วยเพราะตัวเอง
กินนมในตู้เย็นที่บูดแล้ว / เปิดหน้าต่างนอนหน้าหนาวเลยป่วย / ล้มสะดุดตัวเอง / แสบกระเพาะเพราะลืมกินข้าว --- พบว่าหลายๆเรื่องโง่ๆเนี่ย มาเกิดตอนนี้ เพราะตัวเองล้วนๆเลย...

6.ความรับผิดชอบ/สามัญสำนึกด้านการเรียนต่ำลง
ยกให้งานบ้าน การนอน เป็น first priority ไปแล้ว เรื่องเรียนอ่ะเอาเถอะ (แย่แล้ว...)

7.มองเรื่องเพศกว้างขึ้น
หรือจะว่าชินดีล่ะ ที่นี่มีเพศเยอะมาก เจอเยอะด้วย แต่ก่อนเราหัวโบราณไม่ยอมรับเท่าไหร่ แต่พอมีเพื่อนแบบนี้ เจอคนแบบนี้ ก็รู้สึกเป็นเรื่องธรรมดามาก การไปดูถูกเป็นเรื่องที่ไม่โอเคสำหรับเราแล้ว

8.อ่านรีวิวเยอะขึ้น
ปกติเรานึกจะกินก็กิน จะไปเที่ยวก็ตามพ่อแม่ ไม่เคยคิดอะไรเอง หรือวางแผนเอง แต่มาอยู่นี่แล้วคิดจะไปไหน ก็เริ่มจากการอ่านรีวิวก่อนตลอดเลย - ถึงช่วงหลังๆจะรำคาญแล้วดูแค่สถานที่แล้วไปเลยก็เถอะ

9.ติดsnsมากขึ้น
น่าจะเป็นเพราะว่าอยู่คนเดียวแล้วรู้สึกขาดการติดต่อสื่อสาร ถึงจะคุยกับเพื่อนที่นี่เยอะแล้วก็เถอะ ก็ยังคุยแชทกับคนอื่นมาก มาก จริงๆ

10.ถ่ายรูปเยอะขึ้นมาก
เหมือนเที่ยวอยู่(หลังเริ่มลดแล้ว) / ท้องฟ้าที่นี่สวยบ่อย / ติดกาารมองหามุมกล้อง / เหมือนยาเสพติดที่เสพแทนวาดรูป

11.วาดรูปน้อยลง
อันนี้เพราะขี้เกียจส่วนตัว ไอเดียตันส่วนตัว ไม่โทษบรรยากาศ

12.อารมณ์เสียน้อยลง
ว่ากันตรงๆก็เพราะไม่มีเหตุบางอย่างจากที่มีปกติตอนอยู่บ้านนั่นแหล่ะ อารมณ์นิ่งขึ้นเยอะ หงุดหงิดน้อยลงมาก อดทนมากขึ้น ยกเว้นช่วงเวลาหนึ่งในเดือน ก็เหวี่ยงเหมือนเดิม

13.ทำตามใจตัวเองมากขึ้น
นึกจะกินก็เดินไปกิน นึกจะไปเที่ยวก็ขี่จักรยานออกไปเลย นึกจะนอนก็นอน จะโดดก็โดด จะใส่เสื้อแปลกๆเดินห้องก็ทำ จะซื้อต้นไม้ก็ซื้อ จะโยนอะไรเกลื่อนกลาดในห้องก็ทำ เพราะมันไม่มีโปรเซสการขออนุญาตมาเกี่ยวแล้วล่ะมั้ง แต่เราก็ไม่ได้ทำอะไรสุดโต่งขนาดนั้น(มั้ง)

14.ค่าโทรศัพท์พุ่ง
เพราะใช้โทรศัพท์ในการโทรเรียกเพื่อน ตั้งแต่ไร้สาระจนมีสาระ โทรกลับบ้าน ตั้งแต่เกิดมาค่าโทรศัพท์เพิ่งเคยเกินเดือนสามร้อยนี่แหล่ะ

15.มองสิ่งรอบตัวมากขึ้น
มองหมา มองแมว มองป้าย เริ่มมองหน้าคนบ้าง เดิมทีใช้ความเคยชินในการเดินเกินไป ไม่ค่อยมองอะไรนอกจากพื้น จริงๆนะ

16.เลิกดูทีวี
อันที่จริงก็มีอยู่ที่หอนะ แต่เปิดน้อยประมาณเทอมละสามครั้ง มันมีซีรียส์หนุกๆ ข่าวbbcให้ฝึกฟังนะ แต่รู้สึกว่ามันเปลืองไฟ บวกกับเป็นความใฝ่ฝันบางอย่างที่จะไม่เปิดทีวีมั้ง(บ้าบอจริงๆ)

17.แฟชั่นคืออะไรไม่รู้จัก
เดิมทีการแต่งตัวก็ตามใจตัวเองอยู่แล้ว แต่สวัสดีที่นี่เชียงใหม่ ซึ่งเพื่อนๆใส่กางเกงวอร์มโรงเรียนเดินห้างแม้จะเป็นวันหยุด โอกาสดีๆแบบนี้มีหรือที่คนอย่างเราจะพลาด เลิกใส่กางเกงยีนส์ไปพักใหญ่ เสื้อเชิ้ตยังไม่เคยหยิบออกมา ...จนตอนนี้ต้องเอามาใส่บ้าง เพราะมันชักจะคับ... -- คนที่แต่งตัวก็มีไม่น้อยนะ แต่ก็ช่างเค้า 55555

18.เลิกstereotypeคนอื่นไปเยอะ
บอกไม่ได้ว่าเดิมเป็นคนตัดสินคนอื่นจากนิยามเขาไม่กี่ประโยคขนาดไหน เพราะเพิ่งรู้ตัวตอนที่คิดได้ว่า เอ้อ จริงๆก็ไม่ใช่คนแบบนั้นนี่หว่า (ทั้งแง่ดี และไม่ดี) รวมถึงเริ่มเข้าใจคนที่มองคนอื่นแบบนั้นด้วย เช่นการอยู่คณะแพทย์แล้วถูกมองแบบนั้น แบบนี้ เราก็เริ่มเข้าใจว่าทำไมเขามองแบบนั้น บางทีก็ยอมรับได้ แม้มันจะไม่จริง เรารู้ว่าบางคนถ้าไม่เจอความจริง คนอื่นจะบอกอีกกี่คนก็ไม่มีวันเชื่อหรอก

ตอนนี้มีประมาณนี้ ถ้ามันเปลี่ยนไปอีกก็คงเพิ่มอีก 20.02.15


วันอาทิตย์ที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

ความหมาย

เคยนั่งคิดว่าชีวิตกลัวอะไรบ้าง

การที่วันนึงจะไม่มีครอบครัว

การที่อยู่ๆแขนจะขาด

การที่จะถูกใครบางคนเกลียด

การที่จะทำฝันไม่เป็นจริงไปตลอดกาล

ไม่ใช่ความกลัวของเราหรอก


ความกลัวของเราคือการที่วันหนึ่ง เราจะหมดกำลังใจในการดำเนินชีวิตไปดื้อๆ
ไม่ใช่ว่าภาพฝันไม่ชัดเจน แต่อยู่ๆมันก็ไม่มีค่า

ภาพวาดที่เคยทำให้รู้สึกตื่นเต้น และใจเต้นแรงเวลาเห็น
หนังสือเท็กซ์หนาๆที่ทำให้อยากเปิดอ่าน ความรู้ที่อยากจะรู้ให้ดียิ่งขึ้นไปอีก

มันไม่ได้มีความหมายอะไรเลย กับชีวิต



แล้วอะไรที่มีความหมาย

กระทั่งยอดไลค์ที่จะทำให้รู้สึกดีใจขึ้นมานิดหน่อย
ก็ยิ่งถูกทำให้ชัดว่ามันไร้ค่ากว่าความฝันทั้งหมดนั่นหลายเท่า


ตอนเจ็ดขวบ เคยพยายามเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับชีวิต

<ชีวิต>

มันถูกทิ้งไว้แค่หัวข้อเท่านั้น หลังจากนั่งๆนอนๆคิดอีกชั่วโมงนึง เด็กคนนั้นก็ตัดสินใจว่าตัวเองรู้อะไรๆน้อยเกินกว่าจะนิยามคำๆนี้ ยังไม่พร้อม

เอาจริงๆก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะพร้อม ทันทีที่คิดจะเขียนก็รู้สึกว่าไม่พร้อม
ไม่เคยกล้าเขียนเรียงความหรืออะไรด้วยหัวข้อนี้

รู้สึกไม่มีสิทธิ์
รู้สึกว่าจะผ่านอะไรมาไม่มากพอ
รู้สึกว่าชีวิตไม่เคยเจอเรื่องที่แย่พอ
รู้สึกว่าชีวิตไม่เคยเรื่องที่ดีขนาดนั้น

รู้สึกยัง "ไม่เข้าใจชีวิต"

อ้าว แล้วที่กำลังหายใจอยู่นี่คืออะไร ทั้งๆที่เป็น "สิ่งมีชีวิต" แท้ๆ
กลับไม่ได้เข้าใจความหมายของตัวเองเลยเหรอ


เดิมทีเราเฝ้าแต่ตั้งคำถาม ว่าเรามีชีวิตไปเพื่ออะไร / เกิดมาทำไม
ตอนที่เปี่ยมไปด้วยพลังคงตอบว่าเพื่อทำความฝันบางอย่าง

ตอนนี้เราถามตัวเองน้อยลง
แต่เราเปลี่ยนมาถามว่า คำว่า "มีชีวิต" มันคืออะไรกันแน่
ที่เราทำอยู่ทุกวันมัน "ใช้ชีวิต" มากพอหรือยัง


คนอื่นอาจจะมีความกระหายอันไม่รู้จบกับวัตถุ องค์ความรู้ ความสุข ตัณหา ฯลฯ
เราพบว่าเรากระหายใน ประสบการณ์
ไม่จำเป็นต้องมีความสุขก็ได้ จะเจ็บใจแค่ไหนก็แล้วแต่
แต่อยากรู้จักมันให้มากกว่านี้อีก
แต่ก็กลัว

ความน่ากลัวคือเราเบื่อประสบการณ์ใหม่ๆที่คล้ายเดิมเร็วเกินไป
เช่น การรู้จักเพื่อนในห้องเรียน ไม่ใช่ว่าสนิทหรืออะไรเลย แต่ไม่อยากรู้จักกันในสถานการณ์แบบนี้
ไม่อยากอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมกว้างๆที่แห้งแล้งนี้


เราอยากมาเชียงใหม่ เพราะเราอยากได้ชีวิตแบบใหม่ๆ
ขนาดยังปรับตัวไม่ได้ดีเท่าไหร่ก็เริ่มรู้สึกว่ามันเฉื่อยอีกแล้ว

แต่เราก็ยังชอบนะ บางทีการคิดถึงบ้านแล้วเปรียบเทียบกับตัวเองตอนนี้ก็ช่วยเหมือนกัน
เพราะเราได้ทำอะไรใหม่ๆหลายๆอย่าง ที่มั่นใจว่าอยู่บ้านมันจะไม่เกิดขึ้น
อยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีแต่คนเคยรู้จักมันจะไม่เกิดขึ้น


การออกเดินทางไม่ใช่ความหมายชีวิตเราตอนนี้
หรือก็ยังเป็นไม่ได้


การเป็นนักวาดการ์ตูนก็ไม่ใช่ความหมายของชีวิต
มันเป็นส่วนนึงของชีวิต เป็นเรื่องราวอย่างนึงที่อยากใส่เข้ามาในชีวิต

การเป็นหมอก็ไม่ใช่ความหมายชีวิต
แต่เป็นสิ่งที่เราหวังว่ามันจะให้คำตอบเกี่ยวกับชีวิตได้มากขึ้น บางทีการเป็นครูแนะแนวหรือที่ปรึกษาทางจิตวิทยาก็อาจจะช่วยให้หาคำตอบได้เหมือนกัน แต่ใครจะเจอชีวิตเยอะเท่าหมออีกเล่า


เราคิดว่าการได้ไปที่ใหม่ๆ คุยกับคนเยอะๆ เรียนรู้วัฒนธรรมเยอะๆ คือชีวิต
แต่เราคิดผิด มันคือชีวิต"แบบหนึ่ง" ซึ่งเราถูกปลูกฝังโดยสื่อบางอย่าง



ชีวิตที่เราใช้อยู่มันก็คือชีวิตแหล่ะ ชีวิตแบบนึง

การมีชีวิตอยู่เพื่อใครสักคนก็ไม่ใช่ แต่ใครสักคนที่เรามีเป็นสาเหตุที่ทำให้เรามีชีวิตอยู่ได้
ถ้าขาดไปก็ไม่ได้ตายไปพร้อมกัน แต่แค่ยังนึกภาพชีวิตแบบนั้นไม่ออก


เรายังไม่รู้ว่าชีวิตคืออะไร เรารู้แค่ว่าความหมายมันประกอบไปด้วยหลายอย่างมากๆ
มากมายจนรวมกันเป็นคำๆเดียว




เพราะสิ่งที่เรารู้ตอนนี้คือ ต่อให้เราสูญเสียแรงบันดาล ความหวัง ความฝันทั้งหมดไป เราก็ยังหายใจ ยังกิน ยังคิด ยังมี"ชีวิต"อยู่


ถึงคนอื่นจะชอบว่ามันไม่ต่างอะไรกับการไม่มีชีวิตก็ตาม

วันอาทิตย์ที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

รัก ไม่รัก


เดือนนี้เป็นเดือนแห่งความรัก
ตามนิยามแบบที่เราเข้าใจตามตะวันตก (แต่อาจจะเป็นแค่ในประเทศเรา ?)

แต่ว่า
มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตประเภทที่
ไม่มีฤดูผสมพันธุ์

จริงๆนะ

ถึงอย่างนั้นเดือนนี้ทุกอย่างก็ดูจะเกี่ยวข้องกับความรักไปหมด
สเตตัสในเฟสเพื่อน
ทวิตต่างๆ
โฆษณา
หนังรัก



ทุกอย่างเทมาประดุจว่ามันเป็นเรื่องใหญ่โตที่จำเป็นต่อชีวิต

ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรบนโลก
ที่คนมาตัดพ้อเรื่องความรักหรือเปิดตัวเรื่องความรักมากขึ้น

ที่แน่ๆคือของคนรอบตัวมีผลกับเราถึงมาพิมพ์นี่


ใช่ ความรักเป็นเรื่องจำเป็นต่อชีวิต เพียงแค่ไม่ใช่ในแง่ความสัมพันธ์ในแง่
นั้น
ป่ะ ?



สิ่งมีชีวิตเกือบทุกอย่างอยู่ได้ด้วยความรัก

ถ้าขาดความรักมันก็ตาย

แบบหมาเลี้ยงที่ต้องการเจ้าของให้นัวเนีย
แบบแมวที่ถึงจะหยิ่งขนาดไหนก็ยังมีช่วงเวลาที่เข้ามาออดอ้อน

ไม่แน่ใจว่าต้นไม้ต้องการความรักจากดวงอาทิตย์หรือเปล่า
หรือว่าแค่ได้รับแสงอยู่ทุกวันก็พอแล้ว

แค่รู้ว่ารักอยู่ห่างๆก็พอแล้ว



บางทีความรักก็ไม่ได้ตรงไปตรงมาขนาดนั้น
รักแบบที่ต้องการอยู่ด้วยกันให้ได้มากที่สุด
รักแบบที่อยากให้มีความความสุขที่สุด
รักแบบที่อยากเป็นต้นเหตุของความสุขของคนๆนั้น
รักแบบที่รู้ว่าสบายดีก็พอแ
รักแบบที่รู้ว่ารักกันก็พอ
รักก้อนเมฆ รักท้องฟ้า ต้องการเพียงแค่ได้มองก็พอ
ถึงจะเหมือนคนบ้าที่ชอบทักว่าท้องฟ้าสวยได้แทบทุกวัน

ก็แค่รักละมั้ง



เดือนนี้ไม่ใช่เดือนแห่งความรักหรอก

มันคือเดือนกุมภาพันธ์ต่างหากเล่า
ไม่สิ
มันเป็นแค่อีกช่วงเวลาที่โลกยังคงหมุนรอบตัวเอง
และรอบดวงอาทิตย์เท่านั้นแหล่ะ





รักเสมอ
,ไม่ว่าเดือนอะไร