วันอาทิตย์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2557

โรแมนติกอิซึ่ม



"อ่างแก้วตอนกลางคืนโรแมนติกดีนะแก"

"นั่นสิๆ ไว้มากันเถอะ"

"มากับแกสองคนอ่ะนะ ไม่อ่ะ"

"เอ๋ เอ้อ จะมากับแฟนใช่มั้ยล่ะ"

"ถ้ามีก็คงจะมาหรอก"

---เพื่อนสองท่านที่กำลังมีความรักได้สนทนาเอาไว้

.....มัน......โรแมนติกยังไงวะ

เป็นคำถามที่ถามตัวเองประมาณสิบรอบของวันนี้
หลังจากปั่นจักรยานขึ้นเนินสองสามลูก (ที่สุดท้ายก็ลงไปเข็น)

แล้วก็มายืนหอบแฮกมองภาพตรงหน้า

มืดจะตาย

มันมีอะไรดีเนี่ย

ข้างๆริมๆรอบๆอ่างนั้นมีคนนั่งให้เห็นอยู่ประปราย
ทั้งนั่งคนเดียว ก้มหน้าก้มตาเล่นมือถือ
นั่งเป็นคู่ ที่ดูเหมือนเป็นเพื่อนกัน
นั่งเป็นคู่ ที่ดูเหมือนเป็นแฟนกัน
นั่งเป็นฝูง มานั่งดูดบุหรี่ สงสัยรีบ...


เดินวนรอบอ่างสักหน่อย
มีดนตรีเบาๆ จากผู้ชายซ้อมกีตาร์

เสียงโอเคเลย อดที่จะหยุดฟังไม่ได้
แล้วก็เดินต่อไปอีกฝั่งของภาพที่ลึกและมืดขึ้นเรื่อยๆ

ก็ยังมีคนนั่งคุยกัน
ไม่เหมือนที่รุ่นพี่พูดว่าจะมีแต่คนมาพลอดรัก

หรือยังไม่ดึกมากไม่รู้

ลมพัดแรงขึ้นเรื่อยๆ แต่ยังอยู่ในระดับสบาย แต่กางเกงขาสั้น
ทำเอาหนาวอยู่เหมือนกัน


เลยหมุนตัวกลับ

คู่รักหรือเพื่อนที่มาก็เริ่มนั่งใกล้ๆกัน
แนบๆกัน เพิ่มความอบอุ่น แต่ก็ยังดูงาม ไม่ประเจิดประเจ้ออะไร


มองอ่างแก้วอีกที

.
.
มืดจะตาย

แต่อากาศดี ถือว่าโอเคอยู่
แต่มันโรแมนติกยังไงวะ


เอ้ะ แล้วโรแมนติกนี่มันอะไรนะ
ถามกูเกิ้ลแล้วกูเกิ้ลอ้อมค้อม เลยใช้ เอ้ย ถามเพื่อน

เหมือนว่าเดิมจะใช้ความหมายว่าตามธรรมชาติของวรรณคดีแบบromance
..อ้าว งง อ้ะ เป็นวรรณคดีแบบอุดมคติ

..เข้าใจก็ได้
หรือมันคงเป็นสภาวะอุดมคติ อย่างน้อยๆก็ใกล้เคียงอุดมคติ
แบบนั้นหรือเปล่า



....เสียงทุ้มๆกับกีตาร์ยังไม่เลิก เลยไปนั่งที่ม้านั่งที่ห่างออกมาอีกหน่อย

เอ้อ เพราะดี

บังเอิญเงยหน้าไป

เห็นดาวด้วยแฮะ
เพ่งดีๆเห็นเยอะเหมือนกัน

ปกติอยู่ที่หอเห็นไม่ค่อยชัดเลย

ลมเย็นๆพัดมาอีกช่วง

นั่งเฉยๆอีกหน่อยก็ดีเหมือนกัน...



อย่างนี้มันโรแมนติกหรือยังนะ

ก้มหน้าก้มตากดมือถือคุยกับเพื่อน
ลองปิด แล้วฟังเสียงจิ้งหรีด
ปนกับเสียงเพลง

ลองหลับตาแล้วรับลมดู



......
....

อ้อ

มันเป็นแบบนี้นี่เอง









หนาวแฮะ..

มิน่าทำไมต้องมากับคนที่สามารถกอดได้

...





...ไม่สิ คราวหน้าขอแค่เสื้อม่วงกับกางเกงขายาวของเราก็พอแล้วละ
ไม่ได้เดือดร้อนขนาดนั้น


เดินๆคิดอยู่คนเดียวไปหาจักรยาน เตรียมเผชิญโค้งและเนินกลับหอ

ที่ทั้งหมดมันหาคำตอบได้ยากขนาดนี้
คงเป็นเพราะความโรแมนติกในจิตใจมันต่ำไปหน่อย..



แต่ว่าถ้าได้มานอนดูดาว 
แล้วมีคนคุยด้วยนี่มันคงจะโอเคขึ้นเยอะทีเดียว



มันไม่ค่อยโรแมนติกหรอกมั้ง 

เอ้ะ หรือโรแมนติกนะ





วันพุธที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2557

All that matter is T I M E

กลายเป็นบล็อกสัพเพเหระไปแล้วแฮะ..

ไปดูลูซี่มา.. นานละ ดังนั้นเนื้อหามั่วๆก็ปล่อยเราไปนะ


แต่ ส ป อ ย ล์ นะจ้ะ


ถ้ายังไม่หยุดอ่านตั้งแต่ตอนนี้
มันก็..สปอยล์อยู่ดี ตั้งแต่ชื่อละ อิอิกำ



ในช่วงชีวิตนึงเราผ่านอะไรมามากมายเยอะแยะ
ซึ่งพอมันผ่านไป กลายเป็นอดีตที่จำต้องไม่ได้
กลายเป็นความทรงจำ

ยิ่งเวลาผ่านไปอีก

มันเหมือนเป็นเรื่องแต่งเองของสมอง

เคยคิดแบบเรามั่งมั้ย ? 55555


ส่วนหนังเรื่องนี้บอกเราว่า สิ่งที่ทำให้เรามีตัวตนอยู่คือ เวลา
เวลาชั่วขณะนี้ ที่เราสัมผัส รับรู้ได้

เพราะหากเรามองเวลาที่ผ่านไปอย่างรวดเร็วแล้ว

มันก็เหมือนกับความว่างเปล่าที่ไม่เคยมีใครอยู่ตรงนั้นมาก่อน


อันที่จริงแล้วชีวิต ความฝัน งาน ความทุกข์ทรมาน บ้าน สงคราม น้ำท่วม แดดร้อน

มันไม่ได้มีอยู่เลย

เป็น อนัตตา (พุทธ...แต่ใช้คำนี้ตรงสุด)


จะเถียงก็ได้ว่าเดี๋ยวนี้มีวิธีสร้างหลักฐานมากมาย ไหนจะถ่ายรูป ไหนจะเก็บของ
ไม่เห็นว่ามันจะดูไม่เป็นจริงยังไง


จะอธิบายยังไงดี บอกไม่ถูก เพราะไม่ใช่คนเชี่ยวชาญ


แต่เข้าใจว่า ตอนเกิดเราก็ไม่มีอะไร ตอนตายก็ไม่มีอะไร
สิ่งของเครื่องใช้ ที่มาของอารมณ์ต่างๆนั้น เกิดจากการระบุอารมณ์เนื่องมาจากสภาพของร่างกาย

ลองถอยออกมาสองสามก้าว
ข้าวของวันนี้ก็เป็นขยะในวันพรุ่งนี้
ลองนึกภาพมองรูปครอบครัวคนที่ไม่รู้จักก็ไม่ได้แคร์อะไร ถ้าหล่นพื้นบางทีก็เหยียบเลยด้วยซ้ำ
ภาพของเรามันดีกว่าภาพพวกนั้นยังไง
เพราะให้

"ความหมาย"

มันเข้าไป

มันเลยมีคุณค่าทางความรู้สึกขึ้นมา
ความรู้สึกที่จับไม่ได้ ที่ตายไปมันก็หมดคุณค่า

ทั้งที่ก็กระดาษร้านปริ๊นท์ร้านเดียวกัน..


ก็นั่นแหล่ะ
ถ้าจะมองให้ละเอียด คนหรือสิ่งมีชีวิตมันก็เท่านี้เอง เลือดเนื้อ บลาๆ ก็โปรตีน สารอินทรีย์เล็กๆ ที่ประกอบกัน


มันไม่มีอะไรคงอยู่ถาวร


ไม่มีเลย
รวมถึงอารมณ์ปริศนาตอนนี้ เดี๋ยวก็หายไป


ในฐานะมนุษย์เดินดินคนธรรมดา
เราตกอยู่่ในเกมที่ไม่มีวันออกได้
เกมที่มีกรอบง่ายๆ

ที่เรียกว่า เ ว ล า

เราเร่งมันไม่ได้ หยุดมันไม่ได้ ย้อนกลับไปหามันไม่ได้



แล้วสรุปเราก็เขียนมาเนี่ย
มันก็ยังไม่มีอะไรยืนยันคำตอบของคำถามว่า

เราเกิดมาทำอะไร


หนังบอกให้ถ่ายทอดสิ่งที่รู้ต่อไปสู่ลูกหลาน
เพราะนั่นคือเหตุผลของการมีชีวิตของสิ่งมีชีวิต

เพื่อดำรงอยู่ต่อไป

งั้นเหรอ ? (อาจจะตีความพลาดก็ได้นะ)


เราจะดำรงอยู่กันไปทำไมนะ
การมีชีวิตนี่มันเพื่ออะไร
ทำไมจักรวาลไม่ว่างๆโล่งๆดำๆของมันต่อไปกันนะ...

น่าสงสัยจริงๆ...


สุดท้ายก็อยากบอกว่า ที่พิมพ์ๆไม่ได้ผ่านกรองเลย พิมพ์ตามอะไรไม่รู้
บางทีเราก็วิ่งไปในโลกมากไป ตามงานตามเงิน ตามกิจกรรม
มันทำให้อินมากไป เหนื่อยไป

ต้องถอย หรือหยุดสักหน่อย


....เนาะ ?